การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 324

ตารางที่
4
ความเสี่
ยงต
อการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
จํ
าแนกตามป
จจั
ยเอื้
อและป
จจั
ยเสริ
ป
จจั
ยเอื้
อ/เสริ
กลุ
มศึ
กษา
กลุ
มควบคุ
รวม
OR
95% CI
Sig
งานยกแบกหาม
6 (60.0)
4 (40.0)
10 (3.6)
1.65
.03,.43
.03
ประสบการณ
น
อยกว
า 5 ป
มากกว
า 5 ป
28(35.0)
52(65.0)
103 (52.6)
93 (47.4)
131(47.5)
145 (52.5)
2.89
.29,.83
.01
การป
นนั่
งร
าน
24(60.0)
16 (40.0)
40(13.6)
2.89
.59,.98
.03
การแต
งกาย
72 (90.0)
18 (9.2)
90 (32.4)
3.21
.02,.58
< .01
อภิ
ปรายผลการศึ
กษา
กลุ
มตั
วอย
างเป
นชายมากกว
าหญิ
งประมาณ 4 เท
า เป
นลั
กษณะเดี
ยวกั
บการศึ
กษาของวั
ฒนา โพธา
(2541) ที่
พบว
าแรงงานก
อสร
างส
วนใหญ
เป
นเพศชาย ศึ
กษาระดั
บประถม ผู
ดื่
มเครื่
องดื่
มชู
กํ
าลั
งขณะทํ
างานเสี่
ยง
ต
อการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
และการบาดเจ็
บมากกว
าผู
ที่
ไม
ดื่
ม 8.2 เท
า ผู
สู
บบุ
หรี่
ขณะทํ
างานเสี่
ยงต
อการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
และ
การบาดเจ็
บมากกว
าผู
ที่
ไม
สู
บ 1.9 เท
า ผู
ดื่
มสุ
ราเสี่
ยงต
อการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
มากกว
าผู
ที่
ไม
ดื่
ม 1.9 เท
า หากดื่
มขณะ
ทํ
างาน ความเสี่
ยงจะสู
งถึ
ง 18.4 เท
า ผู
มี
โรคประจํ
าตั
วเสี่
ยง .01 เท
า ของผู
ไม
มี
โรคประจํ
าตั
ว การค
นพบดั
งกล
าว
สอดคล
องกั
บข
อมู
ลของมู
ลนิ
ธิ
อารมณ
ที่
พบว
า คนงานก
อสร
างเป
นกลุ
มที่
ได
รั
บอุ
บั
ติ
เหตุ
มากที่
สุ
ด (มติ
ชน 23 กพ.
47 หน
า 18) การศึ
กษาของ ถิ
รพงษ
ถิ
รมนั
ส และคณะ (2544) ที่
พบว
า การดื่
มเครื่
องดื่
มชู
กํ
าลั
งมี
อิ
ทธิ
พลต
อการ
ประสบอุ
บั
ติ
เหตุ
จากการทํ
างานก
อสร
าง และสอดคล
องกั
บข
อมู
ลการบาดเจ็
บและการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
จากการดื่
มสุ
รา
ดั
งเช
นข
อมู
ลอุ
บั
ติ
เหตุ
จราจร ที่
พบว
า ร
อยละ 50 ของอุ
บั
ติ
เหตุ
จราจรเกิ
ดจากการดื่
มสุ
รา (ไพบู
ลย
สุ
ริ
ยะวงศ
ไพศาล,
2547) สํ
าหรั
บเครื่
องดื่
มชู
กํ
าลั
ง พบว
ามี
ส
วนผสมของคาเฟอี
น (Caffeine) ถ
าได
รั
บในปริ
มาณน
อยๆ จะกระตุ
นให
รู
สึ
กกระปรี้
กระเปร
า ประสาทตื่
นตั
วแต
จะหมดไปภายใน 2-3 ชั่
วโมง ร
างกายที่
ถู
กกระตุ
นในช
วงแรกจะหมดพลั
ควบคุ
มสมาธิ
ไม
ได
เหนื่
อยอ
อน ง
วงอย
างผิ
ดปกติ
จะต
องได
รั
บคาเฟอี
นเข
าไปกระตุ
นใหม
จึ
งต
องดื่
มอยู
เสมอ และ
ยั
งมี
ข
อเสี
ย โดยพบว
าถ
าได
รั
บในปริ
มาณ 250 มิ
ลลิ
กรั
ม ทํ
าให
เลื
อดไปเลี้
ยงสมองลดลงถึ
งร
อยละ 20 ทํ
าให
ผู
ดื่
บางคนรู
สึ
กปวดศี
รษะ สมองตื้
อ และอาจทํ
าให
เกิ
ดโรคบางอย
าง เช
น แผลในกระเพาะอาหาร ประสาทไม
สงบ
หงุ
ดหงิ
ด การดู
ดซึ
มธาตุ
เหล็
กลดลง หั
วใจเต
นไม
เป
นจั
งหวะ และทํ
าให
เกิ
ดโรคหลอดเลื
อดแดงหั
วใจผิ
ดปกติ
ได
ผู
ที่
มี
โรคประจํ
าตั
วจากการศึ
กษาครั้
งนี้
พบว
ามี
ความเสี่
ยงต
อการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
น
อยกว
าผู
ที่
ไม
มี
โรคประจํ
าตั
ว ซึ่
งอาจ
อธิ
บายได
ว
า ผู
ที่
มี
ประสบการณ
การเจ็
บป
วย จะมี
ความระมั
ดระวั
ง และดู
แลตนเองมากกว
า กลุ
มศึ
กษาและกลุ
ควบคุ
มมี
ความรู
เกี่
ยวกั
บความปลอดภั
ยในการทํ
างานในระดั
บค
อนข
างสู
ง เมื่
อทดสอบค
าเฉลี่
ยความรู
ของทั้
งสอง
กลุ
ม พบว
า ไม
มี
ความแตกต
างกั
นทางสถิ
ติ
(p =.844) ค
าเฉลี่
ยทั
ศนคติ
ของทั้
งสองกลุ
มแตกต
างกั
นอย
างมี
นั
ยสํ
าคั
ทางสถิ
ติ
(p < .01) โดยค
าเฉลี่
ยทั
ศนคติ
ของกลุ
มศึ
กษาค
อนไปในทางบวกมากกว
ากลุ
มควบคุ
ม ลั
กษณะนิ
สั
ยของ
สองกลุ
มที่
ต
างกั
น คื
อ การเป
นคนโมโห ฉุ
นเฉี
ยวง
าย ตื่
นเต
นง
าย และวิ
ตกกั
งวล โดยพบว
ากลุ
มศึ
กษามี
มากกว
กลุ
มเปรี
ยบเที
ยบ และพบความแตกต
างกั
นทางสถิ
ติ
ลั
กษณะงานที่
มี
ความสั
มพั
นธ
กั
บการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
จากการ
ทํ
างาน มี
เพี
ยงลั
กษณะเดี
ยวคื
อ งานประเภทยกแบกหาม โดยมี
ความเสี่
ยงมากกว
างานที่
ไม
มี
การยกแบกหาม
ประมาณ 1.65 เท
า ผู
ที่
มี
ประสบการณ
ในการทํ
างานก
อสร
างน
อยกว
า 5 ป
เสี่
ยงต
อการเกิ
ดอุ
บั
ติ
เหตุ
มากกว
าผู
ที่
มี
ประสบการณ
ในการทํ
างานน
อยกว
า 5 ป
ถึ
ง 2.89 เท
า อย
างมี
นั
ยสํ
าคั
ญทางสถิ
ติ
(p<.01) การป
นนั่
งร
านทํ
าเสี่
ยงต
1...,314,315,316,317,318,319,320,321,322,323 325,326,327,328,329,330,331,332,333,334,...702
Powered by FlippingBook