1556
2003) เกิ
ดพิ
ษต
อตั
บจาก pyrazinamide ดั
งนั้
นก
อนเริ่
มรั
กษาวั
ณโรค ผู
ป
วยควรได
รั
บการตรวจเลื
อดเพื่
อดู
การทํ
างาน
ของตั
บ ในกรณี
ที่
มี
การทํ
างานของตั
บผิ
ดปกติ
ก
อนเริ่
มการรั
กษา อาจจํ
าเป
นต
องหลี
กเลี่
ยงการใช
ยาต
านวั
ณโรค
ดั
งกล
าวข
างต
น (American Thoracic Society, 2006) เนื่
องจากอาจมี
ความเสี
่
ยงทํ
าให
เกิ
ดพิ
ษต
อตั
บมากขึ้
นกว
าคน
ปกติ
หรื
ออาจต
องติ
ดตามดู
แลผู
ป
วยอย
างใกล
ชิ
ด ในกรณี
ที่
มี
การทํ
างานของตั
บปกติ
การตรวจก
อนการรั
กษาจะเป
น
การช
วยยื
นยั
นว
าหากเกิ
ดภาวะพิ
ษต
อตั
บขึ้
นระหว
างการใช
ยาต
านวั
ณโรค ความผิ
ดปกติ
นั้
นอาจมี
สาเหตุ
มาจากยาต
าน
วั
ณโรคที
่
ผู
ป
วยได
รั
บ นอกจากนี้
แนวปฏิ
บั
ติ
จากสถาบั
นเช
น American Thoracic Society (ATS) ของประเทศอเมริ
กา
ได
แนะนํ
าให
ตรวจทางห
องปฏิ
บั
ติ
การที่
แสดงความผิ
ดปกติ
ของตั
บเป
นค
าเริ่
มต
นก
อนการรั
กษาเช
นกั
น และ
สอดคล
องกั
บผลจากการศึ
กษานี้
ที่
พบว
าแพทย
โดยส
วนใหญ
จะสั่
งตรวจทางห
องปฏิ
บั
ติ
การที่
บ
งบอกการทํ
างานของ
ตั
บก
อนเริ่
มใช
ยา อย
างไรก็
ตามแนวปฏิ
บั
ติ
บางสถาบั
น (Hong Kong, 2002) ได
แนะนํ
าให
ตรวจเฉพาะผู
ป
วยที่
มี
ความ
เสี่
ยงสู
งที่
ทํ
าให
เกิ
ดความเป
นพิ
ษต
อตั
บเท
านั้
น ได
แก
ผู
ป
วยที่
มี
ความผิ
ดปกติ
ของตั
บอยู
เดิ
ม ผู
ป
วยดื่
มสุ
รามาก ผู
ป
วย
สู
งอายุ
และผู
ป
วยทุ
พโภชนาการ ซึ่
งสอดคล
องกั
บผลการศึ
กษาเช
นกั
นที่
แพทย
จํ
านวนหนึ่
งที่
ไม
ได
ตรวจค
าดั
งกล
าว
ในผู
ป
วยทุ
กราย โดยจะตรวจในผู
ป
วยบางราย เช
น ผู
ป
วยโรคตั
บเรื้
อรั
ง ผู
ป
วยมี
ประวั
ติ
ไวรั
สตั
บอั
กเสบ และดื่
มสุ
รา
มาก เป
นต
น
ค
าทางห
องปฏิ
บั
ติ
การที่
บ
งบอกการทํ
างานของตั
บนั้
นมี
อยู
ด
วยกั
นหลายชนิ
ดได
แก
ALT, AST, ALP และ
billirubin โดยการเกิ
ดพิ
ษต
อตั
บจากยาต
านวั
ณโรคนั้
นมั
กมี
รู
ปแบบความเป
นพิ
ษแบบ hepatocellular injury คื
อ มี
การ
เพิ่
มขึ้
นของระดั
บเอนไซม
AST, ALT และมี
การเพิ่
มขึ้
นเล็
กน
อยของเอนไซม
ALP (Navarro and Senior, 2006)
โดย ALT และ AST เป
นเอนไซม
ที
่
สร
างขึ้
นจากตั
บ หั
วใจ แต
ALT จะมี
ความจํ
าเพาะเจาะจงต
อตั
บมากกว
า
(American Thoracic Society, 2006) การที่
มี
ระดั
บ ALT สู
งกว
าปกติ
นั้
นมั
กใช
บ
งบอกถึ
งการที่
เซลตั
บถู
กทํ
าลาย ส
วน
ค
า ALP และค
า bilirubin เป
นเอนไซม
ที่
บ
งบอกความผิ
ดปกติ
ของระบบทางเดิ
นน้ํ
าดี
(Mohi-ud-din and Lewis,
2004) นอกจากนั้
นหากมี
การทํ
าลายของเซลตั
บเพิ่
มขึ้
น จะส
งผลให
มี
การเปลี่
ยนแปลงของระดั
บ bilirubin ร
วมด
วย
ยาต
านวั
ณโรคหลายชนิ
ดได
แก
isoniazid, rifampicin และ pyrazinamide มี
รายงานทํ
าให
เกิ
ดความเป
นพิ
ษแบบ
hepatocellular injury (Navarro and Senior, 2006) นอกจากนี้
rifampicin ทํ
าให
เกิ
ดความเป
นพิ
ษแบบ cholestatic
injury (Mohi-ud-din and Lewis, 2004) และยั
งมี
รายงานว
าการใช
rifampicin ในช
วงแรกของการรั
กษาจะทํ
าให
มี
การ
เพิ่
มของระดั
บ bilirubin ได
โดยเฉพาะใน 1 สั
ปดาห
แรก และสามารถกลั
บเข
าสู
ระดั
บปกติ
ได
โดยไม
ต
องหยุ
ดยา
เนื่
องจาก rifampicin ไปมี
ผล competitive inhibition ต
อการการขั
บ bilirubin (Grosset and Leventis, 1983) ดั
งนั้
น
แพทย
ส
วนใหญ
จึ
งสั่
งตรวจค
าทางห
องปฏิ
บั
ติ
การดั
งกล
าวเพื่
อหาภาวะการทํ
างานของตั
บก
อนเริ่
มการรั
กษา อย
างไรก็
ตามจากการศึ
กษาพบว
ามี
แพทย
บางส
วนที่
ได
ตรวจวั
ดระดั
บ albumin/globulin ด
วยทั้
งนี้
อาจเนื่
องมาจากเมื่
อตั
บมี
ความผิ
ดปกติ
ปริ
มาณ albumin ในเลื
อดจะลดลงต่ํ
ากว
าปกติ
ด
วย (จุ
ฑามาศ, 2547) นอกจากนี้
ระดั
บ albumin ที่
ต่ํ
า
กว
าปกติ
ยั
งใช
เป
นตั
วบ
งชี้
ถึ
งภาวะทุ
พโภชนาการของผู
ป
วยซึ่
งภาวะทุ
พโภชนาการเป
นป
จจั
ยเสี่
ยงหนึ่
งของการเกิ
ดพิ
ษ
ต
อตั
บจากยาต
านวั
ณโรคอี
กด
วย (Sharma
et al
., 2002)
ป
จจั
ยเสี่
ยงที่
มี
ผลต
อการเกิ
ดพิ
ษต
อตั
บจากยาต
านวั
ณโรคอี
กชนิ
ดหนึ่
งคื
อไวรั
สตั
บอั
กเสบบี
และไวรั
สตั
บ
อั
กเสบซี
ดั
งนั้
นผู
ป
วยที่
ได
รั
บยาต
านวั
ณโรคที่
อาศั
ยอยู
ในพื้
นที่
ที่
มี
ความชุ
กของโรคไวรั
สตั
บอั
กเสบสู
ง เช
นประเทศ
ในแถบเอเชี
ยแปซิ
ฟ
กรวมถึ
งประเทศไทยที่
มี
ความชุ
กของโรคไวรั
สตั
บอั
กเสบบี
สู
ง (สํ
านั
กพั
ฒนาวิ
ชาการ กรมการ
แพทย
กระทรวงสาธารณสุ
ข, 2549) ควรได
รั
บการตรวจหาไวรั
สตั
บอั
กเสบก
อนเริ่
มการรั
กษาวั
ณโรคด
วย (Hong
Kong, 2002) ซึ่
งการตรวจพบไวรั
สตั
บอั
กเสบได
ก
อนการรั
กษาจะทํ
าให
แพทย
สามารถตรวจติ
ดตามดู
แลผู
ป
วยอย
าง