12
พหุ
คู
ณ (Multiple Regression Analysis) โดยใส
ตั
วแปรทํ
านายเข
าไป 5-10 ตั
ว และกระทํ
าการ
วิ
เคราะห
ทั้
งในกลุ
มรวมและกลุ
มย
อยดั
งกล
าว
ผลการวิ
เคราะห
ข
อมู
ลในงานวิ
จั
ยเรื่
องหนึ่
งๆ ในสายจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
นี้
จะมี
มากมาย
นั
กวิ
จั
ยต
องมี
การสรุ
ปผลเป
นขั้
นๆ ที่
เรี
ยกว
า
“
การทดผลขั้
นที่
1, 2 และ 3
”
ดั
งได
เขี
ยนบรรยายอย
าง
ละเอี
ยด เกี
่
ยวกั
บวิ
ธี
การทดผลการวิ
เคราะห
ความแปรปรวนแบบสามทางไว
แล
ว (ดวงเดื
อน
พั
นธุ
มนาวิ
น 2544) ซึ่
งเป
นการปฏิ
บั
ติ
ตาม
หลั
ก
วิ
ทยาศาสตร
การให
ข
อสรุ
ปผลการวิ
จั
ยที่
มี
ความ
ครอบคลุ
ม
กรณี
ต
างๆ ในสั
งคมได
อย
างกว
างขวาง
งานวิ
จั
ยสายนี้
ยั
งได
ใช
สถิ
ติ
ขั้
นสู
งแบบอื่
นๆ ที่
จะสามารถให
ข
อสรุ
ปใหม
ๆ เช
น Path
Analysis และอื่
นๆ อี
กด
วย ซึ่
งทํ
าให
ผลงานวิ
จั
ยเหล
านี้
มี
คุ
ณค
ามากยิ่
งขึ้
นต
อๆ ไป
การใช
สถิ
ติ
วิ
เคราะห
ขั้
นสู
งที่
ครอบคลุ
มหลายตั
วแปรอิ
สระ เช
น Multiple
Regression
Analysis และหลายตั
วแปรตามไปพร
อมกั
น เช
น การหาค
า Canonical Correlation ทํ
าให
ผลการวิ
จั
ย
สามารถบ
งชี้
ตั
วแปรอิ
สระเชิ
งเหตุ
ที่
สํ
าคั
ญต
อพฤติ
กรรมหนึ่
ง ว
าร
วมกั
นทํ
านายความแปรปรวนของ
ค
าของพฤติ
กรรมในกลุ
มตั
วอย
างที่
ศึ
กษานี้
ได
กี่
เปอร
เซนต
และมี
ตั
วทํ
านายอะไรบ
างที่
มี
ความสํ
าคั
ญ
อั
นดั
บแรก และรองๆ ลงไป ซึ่
งจะเป
นผลที่
อาจแตกต
างกั
นได
ในกลุ
มผู
ถู
กศึ
กษาประเภทต
างๆ
ในที่
นี้
ขอกล
าวถึ
งข
อควรระวั
ง ดั
งนี้
จากผลการวิ
จั
ยที่
ใช
รู
ปแบบการวิ
จั
ยความสั
มพั
นธ
เปรี
ยบเที
ยบ (Correlational comparative Study) ที่
ได
ข
อสรุ
ปจากการวิ
เคราะห
ข
อมู
ลทางสถิ
ติ
แบบหาค
า
สั
มประสิ
ทธิ์
สหสั
มพั
นธ
หรื
อ การวิ
เคราะห
ความแปรปรวน หรื
อ การวิ
เคราะห
แบบถดถอยพหุ
คู
ณ
ผลเหล
านี้
ยั
งไม
สามารถระบุ
ความเป
นสาเหตุ
ต
างๆ ของตั
วแปรตามที่
ศึ
กษาได
ถ
าทํ
าการวิ
เคราะห
แบบ
Path Analysis จะสามารถให
ผลใกล
เคี
ยงกั
บการระบุ
สาเหตุ
กั
บผล แต
อย
างไรก็
ตาม การทํ
าการวิ
จั
ย
เชิ
งทดลอง (Experimental Study) โดยนั
กวิ
จั
ยสร
างสาเหตุ
หนึ่
งๆ ในปริ
มาณต
างๆ กั
น แล
ววั
ดดู
ว
าผลที่
คาดจะเกิ
ดตามมาในปริ
มาณต
างๆ ด
วยหรื
อไม
การจั
ดการที่
สาเหตุ
ในการวิ
จั
ยเชิ
งทดลองเท
านั้
นที่
นั
กวิ
ชาการจะยอมรั
บ การพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
กั
บผลได
อย
างแท
จริ
ง (Meltzoff, 1998, pp. 26-27) ซึ่
ง
เหมาะสมต
อการที่
นั
กพั
ฒนาจะนํ
าไปกํ
าหนดแนวทางการพั
ฒนาเพื่
อเพิ่
มพฤติ
กรรมหนึ่
งๆ ในคน
ประเภทต
างๆ ได
อย
างดี
ประการสุ
ดท
าย
คื
อ
การให
ผลวิ
จั
ยแบบครบวงจร
เพื่
อนั
กพั
ฒนาจะได
นํ
าผลการวิ
จั
ยเรื่
อง
หนึ่
งๆ หรื
อหลายเรื่
องไปใช
ตอบคํ
าถามให
ครบทุ
กข
อที่
จํ
าเป
นก
อนดํ
าเนิ
นการพั
ฒนา
ในป
จจุ
บั
นนั
กวิ
จั
ยระบบพฤติ
กรรมไทยที่
ได
รั
บทุ
นจากสํ
านั
กงานคณะกรรมการวิ
จั
ย
แห
งชาติ
(วช.) จะทํ
าวิ
จั
ยที่
ให
ผลวิ
จั
ยหลายด
านที่
สํ
าคั
ญภายในเรื่
องวิ
จั
ยเดี
ยว คํ
าถามที่
นั
กพั
ฒนาต
อง
ตอบก
อนทํ
าวิ
จั
ยมี
3 ข
อ คื
อ (1)
ใครคื
อกลุ
มเป
าหมายเร
งด
วนควรพั
ฒนาก
อน
คนประเภทอื่
นๆ ใน
การนี้
ผลวิ
จั
ยจะต
องให
ข
อมู
ลประเภทตรวจอาการ สามารถหากลุ
มคนที่
มี
จิ
ตหรื
อพฤติ
กรรมที่
น
า
ปรารถนาน
อยกว
าคนประเภทตรงข
าม หรื
อมี
จิ
ตหรื
อพฤติ
กรรมที่
ไม
น
าปรารถนามากกว
าคน
ประเภทอื่
นๆ ที่
พบบ
อยในการวิ
จั
ยสายนี้
หลายเรื่
อง ตั้
งแต
อดี
ตถึ
งป
จจุ
บั
น คื
อ คนไทยเพศชายตั้
งแต