การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 19

11
ส
วนการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจ (Survey Study) ที่
สาขาสั
งคมศาสตร
หลายสาขาใช
อยู
นั้
น ไม
สามารถเอื้
อให
นั
กวิ
จั
ยดํ
าเนิ
นการ เพื่
อพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
ต
างๆ ของผลหนึ่
งตามกฎ 3 ข
อดั
งกล
าว
เพราะการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจนี้
ไม
มี
ตั
วแปรอิ
สระที่
ชั
ดเจน หรื
อแม
จะมี
อยู
บ
าง เช
นลั
กษณะทางชี
วสั
งคม
หรื
อภู
มิ
หลั
งของผู
ถู
กศึ
กษา ตั
วแปรประเภทนี้
ส
วนมากไม
สามารถเป
นสาเหตุ
ได
แต
อาจเป
นตั
วแปร
อิ
สระเพื่
อแบ
งประเภทของผู
ถู
กศึ
กษาเท
านั้
น เช
น ตามเพศ ฐานะ ภู
มิ
ลํ
าเนา เป
นต
น แม
นั
กวิ
จั
ยทาง
จิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
จะไม
ได
ใช
รู
ปแบบการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจ แต
ก็
มี
ตั
วแปรอิ
สระชั้
นรองเหล
านี้
ใช
อยู
และสามารถให
ผลการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจเพื่
อตรวจอาการได
พร
อมๆ กั
บการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
กั
ผลเมื่
อใช
การวิ
จั
ย 2 รู
ปแบบในข
อต
อไป
ประการที่
สี่
การใช
รู
ปแบบวิ
จั
ยขั้
นสู
ง 2 รู
ปแบบ
เพื่
อการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
กั
บผล
รู
ปแบบการวิ
จั
ยที่
จะเอื้
อต
อการดํ
าเนิ
นการ เพื่
อการพิ
สู
จน
นี้
ให
ได
อย
างน
ามั่
นใจ คื
การวิ
จั
ยเชิ
ทดลอง
(Experimental Study) ที่
นั
กวิ
จั
ยจะปฏิ
บั
ติ
ตามกฎทั้
ง 3 ข
อได
อย
างแท
จริ
ง ส
วน
การวิ
จั
ยศึ
กษา
ความสั
มพั
นธ
เปรี
ยบเที
ยบ
(Correlational-Comparative Study) สามารถดํ
าเนิ
นการเพื่
อพิ
สู
จน
กฎ
ความแปรเปลี่
ยนไปด
วยกั
นเพี
ยงข
อเดี
ยว หรื
ออย
างมากก็
พิ
สู
จน
ตามกฎข
อที่
สอง คื
อ การเกิ
ดก
อน
ของตั
วแปรที่
กํ
าลั
งพิ
สู
จน
ว
าเป
นสาเหตุ
ของผลหนึ่
งๆ หรื
อไม
รู
ปแบบการวิ
จั
ยหลั
กในทางสั
งคมศาสตร
มี
3 รู
ปแบบ คื
อ การวิ
จั
ยเชิ
งทดลอง การวิ
จั
ความสั
มพั
นธ
และการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจ (Rosenthal & Rosnow, 1991 pp.12-20) การวิ
จั
ย 3 รู
ปแบบนี้
เปรี
ยบเหมื
อแม
สี
3 สี
การวิ
จั
ยส
วนใหญ
มั
กใช
รู
ปแบบผสมระหว
าง 2 จาก 3 รู
ปแบบนี้
เข
าด
วยกั
น ใน
สายจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
ประสบความสํ
าเร็
จมากอย
างชั
ดเจนในการสร
างองค
ความรู
ทางด
านนี้
ใน
ประเทศไทย เพราะใช
รู
ปแบบผสม 2 แบบ คื
การวิ
จั
ยความสั
มพั
นธ
เปรี
ยบเที
ยบแบบควบคุ
เคร
งครั
และ
การวิ
จั
ยเชิ
งทดลองร
วมกั
บการหาความสั
มพั
นธ
แทนรู
ปแบบการวิ
จั
ยหลั
ก 2 รู
ปแบบที่
กล
าวมาแล
ว ซึ่
งมี
วิ
ธี
การวิ
จั
ยที่
ยั
งหละหลวมไม
ยึ
ดหลั
กและวิ
ธี
การทางวิ
ทยาศาสตร
มากเท
าที่
ควร
รายละเอี
ยดและตั
วอย
างของงานวิ
จั
ยที่
ยึ
ดรู
ปแบบการวิ
จั
ยผสม 2 รู
ปแบบในสายจิ
ตพฤติ
กรรมศาสร
ได
เขี
ยนไว
แล
ว (ดวงเดื
อน พั
นธุ
มนาวิ
น 2543)
ประการที่
ห
การใช
สถิ
ติ
ขั้
นสู
เพื่
อการวิ
เคราะห
ข
อมู
ล เป
นลั
กษณะของงานวิ
จั
ยสายจิ
พฤติ
กรรมศาสตร
ที
ต
องศึ
กษาตั
วแปรอิ
สระหลายฝ
าย ฝ
ายละหลายตั
วแปร ตามรู
ปแบบ
ปฏิ
สั
มพั
นธ
นิ
ยม และทฤษฎี
ต
นไม
จริ
ยธรรมและทฤษฎี
อื่
นๆ ร
วมกั
นเพื่
อให
สามารถศึ
กษาป
จจั
ยเชิ
เหตุ
หรื
อสาเหตุ
ต
างๆ ของพฤติ
กรรมหนึ่
งๆ ได
ครอบคลุ
มให
มากที่
สุ
ด ส
วนการศึ
กษาทางด
านผลที่
อาจเป
นจิ
ตลั
กษณะหรื
อพฤติ
กรรมนิ
ยมที่
จะมี
หลายตั
วแปรตามในการวิ
จั
ยหนึ่
งๆ เพื่
อศึ
กษาผลใน
หลายแง
มุ
มไปพร
อมกั
น นอกจากนั้
นยั
งมี
ตั
วแปรอธิ
บาย และตั
วแปรแบ
งกลุ
มย
อย ทํ
าให
ต
องใช
สถิ
ติ
ที่
มี
หลายตั
วแปรในการวิ
เคราะห
หนึ่
งๆ เช
น การวิ
เคราะห
ความแปรปรวนแบบสามทาง (Three-way
ANOVA) ในกลุ
มรวมและกลุ
มที่
แยกย
อยต
างๆ ตามตั
วแปรอิ
สระชั้
นรอง การวิ
เคราะห
แบบถดถอย
1...,9,10,11,12,13,14,15,16,17,18 20,21,22,23,24,26-27,28-29,30-31,32,33,...702
Powered by FlippingBook