11
ส
วนการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจ (Survey Study) ที่
สาขาสั
งคมศาสตร
หลายสาขาใช
อยู
นั้
น ไม
สามารถเอื้
อให
นั
กวิ
จั
ยดํ
าเนิ
นการ เพื่
อพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
ต
างๆ ของผลหนึ่
งตามกฎ 3 ข
อดั
งกล
าว
เพราะการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจนี้
ไม
มี
ตั
วแปรอิ
สระที่
ชั
ดเจน หรื
อแม
จะมี
อยู
บ
าง เช
นลั
กษณะทางชี
วสั
งคม
หรื
อภู
มิ
หลั
งของผู
ถู
กศึ
กษา ตั
วแปรประเภทนี้
ส
วนมากไม
สามารถเป
นสาเหตุ
ได
แต
อาจเป
นตั
วแปร
อิ
สระเพื่
อแบ
งประเภทของผู
ถู
กศึ
กษาเท
านั้
น เช
น ตามเพศ ฐานะ ภู
มิ
ลํ
าเนา เป
นต
น แม
นั
กวิ
จั
ยทาง
จิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
จะไม
ได
ใช
รู
ปแบบการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจ แต
ก็
มี
ตั
วแปรอิ
สระชั้
นรองเหล
านี้
ใช
อยู
และสามารถให
ผลการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจเพื่
อตรวจอาการได
พร
อมๆ กั
บการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
กั
บ
ผลเมื่
อใช
การวิ
จั
ย 2 รู
ปแบบในข
อต
อไป
ประการที่
สี่
การใช
รู
ปแบบวิ
จั
ยขั้
นสู
ง 2 รู
ปแบบ
เพื่
อการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
กั
บผล
รู
ปแบบการวิ
จั
ยที่
จะเอื้
อต
อการดํ
าเนิ
นการ เพื่
อการพิ
สู
จน
นี้
ให
ได
อย
างน
ามั่
นใจ คื
อ
การวิ
จั
ยเชิ
ง
ทดลอง
(Experimental Study) ที่
นั
กวิ
จั
ยจะปฏิ
บั
ติ
ตามกฎทั้
ง 3 ข
อได
อย
างแท
จริ
ง ส
วน
การวิ
จั
ยศึ
กษา
ความสั
มพั
นธ
เปรี
ยบเที
ยบ
(Correlational-Comparative Study) สามารถดํ
าเนิ
นการเพื่
อพิ
สู
จน
กฎ
ความแปรเปลี่
ยนไปด
วยกั
นเพี
ยงข
อเดี
ยว หรื
ออย
างมากก็
พิ
สู
จน
ตามกฎข
อที่
สอง คื
อ การเกิ
ดก
อน
ของตั
วแปรที่
กํ
าลั
งพิ
สู
จน
ว
าเป
นสาเหตุ
ของผลหนึ่
งๆ หรื
อไม
รู
ปแบบการวิ
จั
ยหลั
กในทางสั
งคมศาสตร
มี
3 รู
ปแบบ คื
อ การวิ
จั
ยเชิ
งทดลอง การวิ
จั
ย
ความสั
มพั
นธ
และการวิ
จั
ยเชิ
งสํ
ารวจ (Rosenthal & Rosnow, 1991 pp.12-20) การวิ
จั
ย 3 รู
ปแบบนี้
เปรี
ยบเหมื
อแม
สี
3 สี
การวิ
จั
ยส
วนใหญ
มั
กใช
รู
ปแบบผสมระหว
าง 2 จาก 3 รู
ปแบบนี้
เข
าด
วยกั
น ใน
สายจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
ประสบความสํ
าเร็
จมากอย
างชั
ดเจนในการสร
างองค
ความรู
ทางด
านนี้
ใน
ประเทศไทย เพราะใช
รู
ปแบบผสม 2 แบบ คื
อ
การวิ
จั
ยความสั
มพั
นธ
เปรี
ยบเที
ยบแบบควบคุ
ม
เคร
งครั
ด
และ
การวิ
จั
ยเชิ
งทดลองร
วมกั
บการหาความสั
มพั
นธ
แทนรู
ปแบบการวิ
จั
ยหลั
ก 2 รู
ปแบบที่
กล
าวมาแล
ว ซึ่
งมี
วิ
ธี
การวิ
จั
ยที่
ยั
งหละหลวมไม
ยึ
ดหลั
กและวิ
ธี
การทางวิ
ทยาศาสตร
มากเท
าที่
ควร
รายละเอี
ยดและตั
วอย
างของงานวิ
จั
ยที่
ยึ
ดรู
ปแบบการวิ
จั
ยผสม 2 รู
ปแบบในสายจิ
ตพฤติ
กรรมศาสร
ได
เขี
ยนไว
แล
ว (ดวงเดื
อน พั
นธุ
มนาวิ
น 2543)
ประการที่
ห
า
การใช
สถิ
ติ
ขั้
นสู
ง
เพื่
อการวิ
เคราะห
ข
อมู
ล เป
นลั
กษณะของงานวิ
จั
ยสายจิ
ต
พฤติ
กรรมศาสตร
ที
่
ต
องศึ
กษาตั
วแปรอิ
สระหลายฝ
าย ฝ
ายละหลายตั
วแปร ตามรู
ปแบบ
ปฏิ
สั
มพั
นธ
นิ
ยม และทฤษฎี
ต
นไม
จริ
ยธรรมและทฤษฎี
อื่
นๆ ร
วมกั
นเพื่
อให
สามารถศึ
กษาป
จจั
ยเชิ
ง
เหตุ
หรื
อสาเหตุ
ต
างๆ ของพฤติ
กรรมหนึ่
งๆ ได
ครอบคลุ
มให
มากที่
สุ
ด ส
วนการศึ
กษาทางด
านผลที่
อาจเป
นจิ
ตลั
กษณะหรื
อพฤติ
กรรมนิ
ยมที่
จะมี
หลายตั
วแปรตามในการวิ
จั
ยหนึ่
งๆ เพื่
อศึ
กษาผลใน
หลายแง
มุ
มไปพร
อมกั
น นอกจากนั้
นยั
งมี
ตั
วแปรอธิ
บาย และตั
วแปรแบ
งกลุ
มย
อย ทํ
าให
ต
องใช
สถิ
ติ
ที่
มี
หลายตั
วแปรในการวิ
เคราะห
หนึ่
งๆ เช
น การวิ
เคราะห
ความแปรปรวนแบบสามทาง (Three-way
ANOVA) ในกลุ
มรวมและกลุ
มที่
แยกย
อยต
างๆ ตามตั
วแปรอิ
สระชั้
นรอง การวิ
เคราะห
แบบถดถอย