การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 18

10
แปร การดํ
าเนิ
นการวิ
จั
ย ตลอดจนใช
วิ
ธี
การทางสถิ
ติ
(Kerlinger, 1964, p.5 และ Shaughnessy and
Zechmeister, 1994, pp.8-12, และบทที่
6 และ 7) นั
กวิ
จั
ยสายนี้
ได
ใช
วิ
ธี
การเหล
านั้
นอย
างเคร
งครั
ด ซึ่
ทํ
าให
มี
ข
อผิ
ดพลาดน
อยลงในการค
นพบความจริ
งตามธรรมชาติ
นอกจากนี้
การวิ
จั
ยทางจิ
พฤติ
กรรมศาสตร
ยั
งยึ
ดหลั
กวิ
ทยาศาสตร
ในการวั
ดซ้ํ
า ศึ
กษาซ้ํ
โดยใช
กลุ
มตั
วอย
างขนาดใหญ
ที่
สุ
เท
าที่
งบประมาณจะเอื้
ออํ
านวย ทํ
าให
ได
ผลวิ
จั
ยที่
เป
นหลั
กสํ
าหรั
บคนประเภทที่
ถู
กศึ
กษาได
อย
างน
มั่
นใจมาก นอกจากนั้
นยั
งใช
วิ
ธี
การทางวิ
ทยาศาสตร
ต
างๆ อี
กมากในการวิ
จั
ยสายนี้
ดั
งจะได
กล
าวใน
หั
วข
อต
อๆ ไป
ประการที่
สอง การวั
ดตั
วแปร โดยปฏิ
บั
ติ
ตามหลั
กวิ
ทยาศาสตร
หลายประการ คื
หลั
กการ
มี
นิ
ยามปฏิ
บั
ติ
การ
เพื่
อให
เกิ
ดความชั
ดเจนในความหมายของลั
กษณะที่
ต
องการจะวั
หลั
กความ
เป
นปรวิ
สั
ยในการวั
โดยผู
รู
เป
นผู
กํ
าหนดเกณฑ
ในการแบ
งระดั
บของค
าของตั
วแปร และใช
เกณฑ
ทางสถิ
ติ
เป
นหลั
ก มี
เกณฑ
เดี
ยวใช
กั
บผู
ถู
กศึ
กษาทั้
งหมด และ
หลั
กการควบคุ
ในขณะวั
ด วิ
เคราะห
และตี
ความผลการวั
ด และการใช
วิ
ธี
การแก
ผิ
ดโดยตนเอง
อย
างมี
หลั
กเกณฑ
คื
อการหาคุ
ณภาพราย
ข
อ และทั้
งชุ
ด แล
วเลื
อกใช
เฉพาะที่
เข
าเกณฑ
มาตรฐานขั้
นสู
งเท
านั้
การสร
างและใช
เครื่
องมื
อวั
ดตั
วแปรที
มี
ทั้
งความเที่
ยง และความตรง ตลอดจนความ
ละเอี
ยด ทํ
าให
งานวิ
จั
ยทางจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
ในประเทศไทยได
พบผลที
น
าสนใจ และ
น
าเชื่
อถื
อมากมาย วิ
ธี
วั
ดตั
วแปรส
วนใหญ
ที่
ใช
คื
อ วิ
ธี
วั
ดแบบมาตรประเมิ
นรวมค
า (Summated
Ratings Method) ซึ่
งเป
นที่
นิ
ยมและยอมรั
บกั
นอย
างกว
างขวางในหลายวงวิ
ชาการในป
จจุ
บั
นเพราะ
วิ
ธี
การนี้
เอื้
อต
อการยึ
ดหลั
กและวิ
ธี
การทางวิ
ทยาศาสตร
ที่
กล
าวมาแล
ว ได
มากกว
าวิ
ธี
การอื่
นๆ เป
ส
วนใหญ
และนั
กวิ
จั
ยสามารถสร
างได
เองจากการประมวลความรุ
และทั
กษะ ไม
ต
องพึ่
งวั
สดุ
อุ
ปกรณ
มากหรื
อต
องใช
เงิ
นมากอย
างวิ
ธี
วั
ดบางวิ
ธี
ประการที่
สาม
การยึ
หลั
กความเป
นปรวิ
สั
(Objectivity) ในการศึ
กษาสาเหตุ
ต
างๆ ของ
พฤติ
กรรมด
านหนึ่
งๆ ของคนประเภทหนึ่
งๆ นั
กวิ
จั
ยทางจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
สนใจศึ
กษาสาเหตุ
ของพฤติ
กรรม แต
ใช
วิ
ธี
ที่
เป
นวิ
ทยาศาสตร
ขั้
นสู
ง ซึ่
งสาขาอื่
นๆ ไม
ได
กระทํ
า สั
งคมศาสตร
ต
างๆ
สนใจศึ
กษาสาเหตุ
ของผลต
างๆ โดยการใช
วิ
ธี
การสอบถามตรงๆ จากผู
กระทํ
า แบบอั
ตวิ
สั
ย คํ
าตอบที่
ได
รั
บอาจเป
นเท็
จก็
ได
ต
องผ
านการพิ
สู
จน
ว
าเป
นสาเหตุ
ที่
แท
จริ
งก
อนนํ
าไปเผยแพร
หรื
อนํ
าไปใช
สาขาจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
ในประเทศไทยได
ยึ
ดหลั
กความเป
นปรวิ
สั
ยในการพิ
สู
จน
สาเหตุ
กั
บผลที่
เกี่
ยวข
องกั
น โดยปฏิ
บั
ติ
ตามกฎ 3 ข
อที่
สํ
าคั
ญจากสาขาปรั
ชญา คื
อ กฎความแปรปรวนไป
ตามกั
น (Covariation Rule) กฎการเกิ
ดก
อนของสิ่
งที่
จะเป
นสาเหตุ
ได
(Temporal precedence Rule)
และกฎของการมี
ความเที่
ยงตรงภายใน ไม
มี
สาเหตุ
อื่
นมาทดแทนบดบั
งสาเหตุ
ที่
พิ
สู
จน
ได
(Internal
Validity Rule, Rosenthal & Rosnow, 1991, pp.75-80) การต
องพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
กั
บผลตาม
กฎ 3 ข
อดั
งกล
าว จึ
งทํ
าให
นั
กวิ
จั
ยทางจิ
ตพฤติ
กรรมศาสตร
ต
องใช
รู
ปแบบการวิ
จั
ยสํ
าคั
ญ 2 รู
ปแบบที่
จะกล
าวในข
อต
อไป
1...,8,9,10,11,12,13,14,15,16,17 19,20,21,22,23,24,26-27,28-29,30-31,32,...702
Powered by FlippingBook