การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 533

3
คํ
านํ
โรคปริ
ทั
นต
เป
นโรคที่
เกี่
ยวข
องกั
บอวั
ยวะที่
อยู
รอบๆฟ
น โดยสามารถแบ
งออกเป
น 2 โรคใหญ
ได
แก
โรค
เหงื
อกอั
กเสบและโรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบ
โดยโรคเหงื
อกอั
กเสบหมายถึ
งโรคที่
เกิ
ดการอั
กเสบของเหงื
อกแต
ไม
มี
การ
ทํ
าลายของเอ็
นยึ
ดปริ
ทั
นต
และกระดู
กที่
รองรั
บรากฟ
ส
วนโรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบเป
นโรคที่
มี
การอั
กเสบของเหงื
อก
และมี
การลุ
กลามมาที่
อวั
ยวะปริ
ทั
นต
ซึ่
งทํ
าให
เกิ
ดการทํ
าลายของเอ็
นยึ
ดปริ
ทั
นต
และกระดู
กที่
รองรั
บรากฟ
นและ
เคลื
อบรากฟ
น ป
จจุ
บั
นโรคปริ
ทั
นต
ยั
งเป
นป
ญหาทางทั
นตสุ
ขภาพที่
สํ
าคั
ญของประชาชนทุ
กเชื้
อชาติ
ในโลก และ
เป
นได
ตั้
งแต
วั
ยเด็
กจนถึ
งวั
ยผู
ใหญ
ความชุ
กและความรุ
นแรงของโรคมี
ความแตกต
างกั
นไปตามอายุ
เชื้
อชาติ
การศึ
กษา เศรษฐานะ และอนามั
ยช
องปาก และหากไม
ได
รั
บการบํ
าบั
ดรั
กษาที่
ถู
กต
องจะเป
นสาเหตุ
ให
เกิ
ดการ
สู
ญเสี
ยฟ
นไปในที่
สุ
นอกจากนี้
โรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบยั
งสามารถเป
นป
จจั
ยเสี่
ยงที่
สํ
าคั
ญต
อโรคทางระบบอื่
นๆเช
โรคทางหลอดเลื
อดและหั
วใจ โรคเบาหวาน และอื่
นๆ
การอั
กเสบของโรคปริ
ทั
นต
สามารถแบ
งได
เป
น 2 ระยะ คื
อ ระยะที่
โรคยั
งไม
สงบ(active phase) และ
ระยะที่
โรคสงบแล
ว (inactive or quiescent) (Socransky et al., 1984) ซึ่
งความน
าเชื่
อถื
อในการประเมิ
นระยะการ
อั
กเสบของโรคเป
นสิ่
งสํ
าคั
ญสํ
าหรั
บการวิ
นิ
จฉั
ย การวางแผนการรั
กษา รวมทั้
งการเลื
อกการรั
กษาที่
เหมาะสมให
กั
ผู
ป
วยด
วย การวิ
นิ
จฉั
ยโรคปริ
ทั
นต
จํ
าเป
นต
องอาศั
ยการสื
บค
นจากข
อมู
ลหลายอย
างประกอบกั
น เช
น การตรวจและ
เก็
บข
อมู
ลค
าต
างๆทางคลิ
นิ
ก การใช
ภาพถ
ายรั
งสี
การวิ
เคราะห
น้ํ
าเหลื
องเหงื
อก เป
นต
น วิ
ธี
การที่
นํ
ามาใช
ในการ
วิ
นิ
จฉั
ยโรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบที่
ใช
กั
นอย
างแพร
หลายทั่
วไปในป
จจุ
บั
นได
แก
การตรวจทางคลิ
นิ
กร
วมกั
บการใช
ภาพถ
ายรั
งสี
แต
ทั้
ง 2 วิ
ธี
ก็
มี
ข
อจํ
ากั
ด เนื่
องจากเป
นการวั
ดข
อมู
ลเกี่
ยวกั
บความรุ
นแรงของโรคและเป
นการวั
ดความ
สะสมของโรคที
เกิ
ดขึ้
นในอดี
ตหลั
งจากที่
มี
โรคเกิ
ดขึ้
นแล
ว และไม
สามารถบอกได
ว
าป
จจุ
บั
นนี้
โรคกํ
าลั
งอยู
ในระยะ
ใดหรื
อมี
ความเสี่
ยงต
อระยะที่
โรคยั
งไม
สงบหรื
อไม
(Haffajee et al., 1983) นอกจากนี้
ยั
งมี
ข
อจํ
ากั
ดในเรื่
องความ
คลาดเคลื่
อนเกี่
ยวกั
บการวั
ดและใช
เวลาในการประเมิ
นค
อนข
างมาก (Kaufman and Lamster, 2000) ป
จจุ
บั
นมี
การศึ
กษาและพั
ฒนาวิ
ธี
การวิ
นิ
จฉั
ยแบบใหม
ๆที่
อาจจะสามารถตรวจพบและบอกได
ว
ามี
การดํ
าเนิ
นของโรคในระยะ
ที่
โรคยั
งไม
สงบอยู
ทั้
งนี้
เพื่
อนํ
ามาประเมิ
นผลการดํ
าเนิ
นของโรค การตอบสนองต
อการรั
กษา และนํ
ามาใช
ในการ
เฝ
าระวั
งการเกิ
ดโรคปริ
ทั
นต
ในอนาคตด
วย
อย
างไรก็
ตามยั
งไม
มี
วิ
ธี
การใดที่
สามารถบ
งชี้
ได
แน
นอนว
า บุ
คคลนั้
นกํ
าลั
งมี
การดํ
าเนิ
นของโรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบ
ในระยะที่
โรคยั
งไม
สงบ ดั
งนั้
นการหาตั
วบ
งชี้
เพื่
อประเมิ
นการดํ
าเนิ
นของโรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบในระยะที่
โรคยั
งไม
สงบ
โดยใช
วิ
ธี
ที่
ง
าย รวดเร็
ว และมี
ความแม
นยํ
าในการตรวจในแต
ละบุ
คคลจึ
งเป
นสิ่
งจํ
าเป
นทั้
งนี้
เพื่
อประโยชน
ต
ทั
นตแพทย
ที่
ให
การรั
กษาและเป
นประโยชน
ต
อผู
ป
วยที่
จะป
องกั
นการทํ
าลายของอวั
ยวะปริ
ทั
นต
จากโรคด
วย
น้ํ
าลายเป
นของเหลวที
อยู
ในปากที
สามารถเก็
บได
ง
าย มี
รายงานการศึ
กษาที
กล
าวถึ
งตั
วบ
งชี
ในน้ํ
าลายที่
เกี่
ยวข
องกั
บโรคปริ
ทั
นต
และอาจใช
เป
นข
อมู
ลในการทดสอบความเสี่
ยงต
อการเป
นโรคปริ
ทั
นต
ได
(Kaufman and
Lamster, 2000) ในน้ํ
าลายประกอบด
วยสารต
างๆมากมายเช
น โมเลกุ
ลของสารอิ
นทรี
ย
อิ
เลคโตรไลท
และโปรตี
ต
างๆ ซึ่
งเอนไซม
เป
นโปรตี
นที่
พบได
ในน้ํ
าลายเช
นกั
เอนไซม
ถู
กผลิ
ตจากเชื้
อโรคที่
อยู
ในช
องปาก เม็
ดเลื
อดขาว และมี
บางส
วนมาจากน้ํ
าเหลื
องเหงื
อก
(Chauncey, 1961) มี
การศึ
กษาที่
ทํ
าการทดสอบความสั
มพั
นธ
ของเอนไซม
กั
บการตอบสนองต
อการรั
กษาโรคปริ
ทั
นต
และการศึ
กษาถึ
งความเป
นไปได
ในการนํ
าเอาเอนไซม
มาใช
เป
นตั
วบ
งชี้
ว
าผู
ป
วยกํ
าลั
งเป
นโรคปริ
ทั
นต
อั
กเสบ
ในระยะที่
โรคยั
งไม
สงบ
เอนไซม
อลานี
น อะมิ
โนเพปติ
เดส หรื
อเอเอพี
(alanine aminopeptidase, AAP) และ
1...,523,524,525,526,527,528,529,530,531,532 534,535,536,537,538,539,540,541,542,543,...702
Powered by FlippingBook