16
สองข
างล
างนี้
โดยไม
เห็
นความสํ
าคั
ญของการพิ
สู
จน
ตามกฎข
อแรกนี้
ก
อนเลย จึ
งเป
นความผิ
ดของการ
ระบุ
สาเหตุ
ของผลหนึ่
งอย
างฉกรรจ
วิ
ธี
ที่
ถู
กต
องคื
อ จะต
องเริ่
มที่
ผลที่
เกิ
ดขึ้
นในปริ
มาณต
างกั
น ในคนที่
ถู
กแบ
งออกเป
นอย
างน
อย 2 กลุ
มมาก
อน นั่
นคื
อ นั
กวิ
จั
ยจะต
องมี
ทั้
งกลุ
มทดลอง และกลุ
มควบคุ
ม เมื่
อ
พบว
ากลุ
มทดลองมี
ผลดี
มากกว
ากลุ
มควบคุ
ม แล
วจึ
งจะดํ
าเนิ
นการขั้
นต
อไป คื
อ หาสิ่
งที่
อาจเป
นสาเหตุ
ของผลดี
ที่
มากกว
านี้
ของกลุ
มทดลอง โดยนั
กวิ
จั
ยต
องยื
นยั
นได
ว
าสิ
่
งที่
สองกลุ
มนี้
แตกต
างกั
นมาแต
เดิ
มมี
น
อย แต
ที่
ได
รั
บต
างกั
นเด
นชั
ด คื
อ กลุ
มทดลองได
รั
บการพั
ฒนา แต
กลุ
มควบคุ
มไม
ได
รั
บ จึ
งอาจพู
ดได
ว
า
ผลดี
ที่
มี
มากกว
า ซึ่
งปรากฏในกลุ
มทดลอง เกิ
ดจากการได
รั
บการพั
ฒนานั่
นเอง กลุ
มควบคุ
มไม
ได
รั
บการ
พั
ฒนาจึ
งมี
ผลดั
งกล
าวน
อยกว
าอย
างชั
ดเจน
นั
กพั
ฒนาที่
มองไม
เห็
นความสํ
าคั
ญในกฎข
อนี้
มั
กใช
รู
ปแบบ
การวิ
จั
ย Pretest-Posttest one group design หรื
อรู
ปแบบวั
ดผลหลั
งการพั
ฒนาอย
างเดี
ยว (Post test only)
โดยละเลยไม
ใช
กลุ
มควบคุ
ม จึ
งเป
นรู
ปแบบการวิ
จั
ยที่
ยั
งไม
สมบู
รณ
เมื่
อพบผลดี
ที่
เกิ
ดขึ้
น จึ
งมั
กทึ
กทั
กว
า
ผลดี
นั้
นเกิ
ดจากการพั
ฒนาที่
ตนจั
ดขึ้
น ผลการวิ
จั
ยเช
นนี้
เป
นผลการวิ
จั
ยที่
ไม
มี
ใครเชื่
อถื
อ ยกเว
นผู
ที่
ไม
รู
เรื่
องหลั
กปรั
ชญาของการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
ของผล ก็
อาจหลงเชื่
อได
ส
วนผู
ที่
ระมั
ดระวั
งจะถามว
า
ผู
วิ
จั
ยมี
หลั
กฐานพิ
สู
จน
อย
างไรว
า ผลดี
ที่
เกิ
ดนั้
น จะไม
เกิ
ดหรื
อเกิ
ดน
อยกั
บคนที่
ไม
ได
เข
าร
วมโครงการ
ท
านจะต
องพิ
สู
จน
ให
ได
ก
อน โดยมี
กลุ
มควบคุ
มมาเปรี
ยบเที
ยบนั่
นเอง การเข
าใจและสามารถใช
กฎ
Covariation rule ได
อย
างถู
กต
องนี้
ต
องอาศั
ยการมี
สติ
ป
ญญาขั้
นสู
ง คื
อ ขั้
นปฏิ
บั
ติ
การแบบระบบตาม
ทฤษฎี
ของเพี
ยเจท
(Piaget, 1983 และ ดวงเดื
อน พั
นธุ
มนาวิ
น 2541) ด
วย
2) หลั
งจากพิ
สู
จน
ตามกฎข
อแรกได
แล
วว
า ผู
ที่
เข
าร
วมโครงการ ได
ผลดี
มากกว
า ผู
ที่
ไม
เข
าร
วม
โครงการ หรื
ออี
กนั
ยหนึ่
ง ผลดี
ที่
เกิ
ด (ตั
วแปรตาม) แปรผั
นไปตามการเข
าร
วมโครงการ (ตั
วแปรอิ
สระ)
ต
อไปคื
อกฎที่
ว
าสิ่
งที่
เป
นสาเหตุ
ย
อมเกิ
ดก
อนผล (Temporal precedence rule)
กฎข
อนี้
ไม
ยากที่
จะ
ดํ
าเนิ
นการเพื่
อพิ
สู
จน
ในงานวิ
จั
ยเชิ
งทดลอง วิ
ธี
ดํ
าเนิ
นการพิ
สู
จน
มี
2 ขั้
น
ขั้
นแรก
คื
อ นั
กวิ
จั
ยจะต
องมี
หลั
กฐานที่
ว
า ผลดี
ที่
เกิ
ดแตกต
างกั
นในกลุ
มทดลอง เมื่
อเปรี
ยบเที
ยบกั
บกลุ
มควบคุ
มในภายหลั
งที่
มี
การ
จั
ดการพั
ฒนานี้
ผลดี
ในสองกลุ
มนี้
มิ
ได
มี
แตกต
างกั
นมาก
อนที่
จะมี
การจั
ดการพั
ฒนาแต
อย
างใด วิ
ธี
การ
สร
างหลั
กฐาน นั
กวิ
จั
ยอาจดํ
าเนิ
นการได
2 ประการ คื
อ การวั
ดผลดี
นี้
ก
อน (Pretest) การเข
ารั
บการพั
ฒนา
ของทั้
งกลุ
มทดลอง และกลุ
มควบคุ
ม โดยต
องพบผลตรงนี้
ว
าไม
แตกต
างกั
นอย
างมี
นั
ยสํ
าคั
ญ นั่
นคื
อ
พิ
สู
จน
ว
าเดิ
มเด็
กในกลุ
มทดลองกั
บเด็
กในกลุ
มควบคุ
ม มี
ผลดี
ที่
เป
นเป
าหมายน
อย หรื
อไม
มี
เลยเท
าๆ กั
น
มาก
อน (แต
มาแตกต
างกั
นในภายหลั
ง) หรื
ออี
กวิ
ธี
หนึ่
ง ใช
การจั
ดการให
เกิ
ดความเท
าเที
ยมกั
น โดยนํ
า
กลุ
มตั
วอย
างที่
มี
ลั
กษณะเท
าเที
ยมกั
นในหลายประการ (Homogeneous) มาสุ
มโดยไม
ลํ
าเอี
ยงเข
ากลุ
ม
ทดลอง และกลุ
มควบคุ
ม (Random
assignment) กลุ
มทั้
งสองนี้
จึ
งมี
ลั
กษณะต
างๆ รวมทั้
งผลที่
เป
น
เป
าหมายเท
าเที
ยมกั
น โดยการจั
ดการดั
งกล
าว
ขั้
นที่
สอง
คื
อ เมื่
อพิ
สู
จน
ว
าผลดี
นี้
แต
เดิ
มยั
งไม
แตกต
างกั
น
ในกลุ
มทดลอง กั
บกลุ
มควบคุ
ม แต
ผลนี้
มาแตกต
างกั
นหลั
งการจั
ดการพั
ฒนาในกลุ
มทดลองแล
ว แสดง
ว
า การจั
ดการพั
ฒนาเกิ
ดก
อนผลดี
ที่
พบมากในกลุ
มทดลองเกิ
ดตามมาที
หลั
ง ส
วนการไม
มี
การพั
ฒนามา
ก
อนในกลุ
มควบคุ
ม และสิ่
งที่
ตามมา คื
อ ผลดี
มี
ไม
มาก (เท
ากั
บหรื
อมากกว
าในกลุ
มทดลอง) ดั
งนั้
น ตาม