การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 213

19
เพิ่
มในลั
กษณะต
างๆ แต
ยั
งต
องการผลการวิ
จั
ยยื
นยั
นว
าควรจะจั
ดฝ
กอบรมเพิ่
มในลั
กษณะใด ในปริ
มาณ
ใด เสริ
มจากพื้
นฐานเดิ
ม จึ
งจะก
อให
เกิ
ดผลดี
ได
มากขึ้
น นั
กวิ
จั
ยร
วมกั
บนั
กพั
ฒนา ก็
ยั
งสามารถทํ
าการ
วิ
จั
ยเชิ
งทดลองเต็
มรู
ป โดยสุ
มทุ
กคนที่
อยู
ในโครงการแล
ว เข
ากลุ
มทดลอง กั
บกลุ
มควบคุ
ม เพื่
อให
การ
ฝ
กเพิ่
มเติ
มในกลุ
มทดลอง แล
วประเมิ
นผลเปรี
ยบเที
ยบกั
บกลุ
มควบคุ
ม ดั
งที่
ได
มี
การวิ
จั
ยในลั
กษณะ
ดั
งกล
าวในโครงการ Head Start อยู
มากในระยะหลั
ง โดยมุ
งที่
จะเปรี
ยบเที
ยบผลของการให
การฝ
กอบรม
ต
างๆ กั
น ทั้
งทางด
านเนื้
อหา และ/หรื
อวิ
ธี
การ เช
น การใช
สั
ดส
วนของครู
ต
อนั
กเรี
ยนต
างๆ กั
น การ
ฝ
กอบรมเพิ่
มทางด
านใหม
ๆ เช
น ฝ
กพฤติ
กรรมการเรี
ยนที่
เหมาะสม ให
นั
กเรี
ยนมี
ความอดทน ให
ความ
สนใจการเรี
ยน และมี
พฤติ
กรรมยื
ดหยุ
นในการเรี
ยน ตามที่
ผลวิ
จั
ยใหม
ๆ ชี้
แนะไว
(McWayne, Fantuzzo
และ McDermott, 2004) กั
บการไม
ฝ
กเพิ่
มในสิ่
งเหล
านี้
ที่
ส
งผลต
อพั
ฒนาการทางด
านความพร
อมในการ
เรี
ยนในระดั
บประถมศึ
กษา ตลอดถึ
งผลการเรี
ยนด
วย
การวิ
จั
ยเชิ
งทดลองประเมิ
นผล การฝ
กอบรมเพิ่
มเติ
มจากการพั
ฒนาตามปกติ
เช
นนี้
ในประเทศ
ไทยก็
มี
อยู
บ
าง เช
น การฝ
กอบรมจิ
ตลั
กษณะสองด
านตามลํ
าพั
ง หรื
อฝ
กควบ เปรี
ยบเที
ยบกั
บกลุ
มควบคุ
ที่
ไม
ได
รั
บการฝ
กเพิ่
มเลย โดยนั
กเรี
ยนประถมศึ
กษาตอนปลายในกลุ
มตั
วอย
างทุ
กคน ได
รั
บการเรี
ยนการ
สอนวิ
ชาสุ
ขศึ
กษาเหมื
อนกั
น ก
อนแบ
งเป
น 4 กลุ
มดั
งกล
าว แล
วพิ
จารณาผลที่
จิ
ตและพฤติ
กรรมการดู
แล
สุ
ขภาพปากและฟ
นของตนเองของนั
กเรี
ยนเหล
านี้
ผลวิ
จั
ยแสดงว
าการฝ
กจิ
ตลั
กษณะเพิ่
มจากการสอน
สุ
ขศึ
กษาในลั
กษณะต
างกั
นดั
งกล
าว ให
ผลดี
ที่
หลากหลายในนั
กเรี
ยนต
างประเภทกั
นด
วย (เมธิ
นี
คุ
พิ
ทยานั
นท
2546)
งานวิ
จั
ยประกอบโครงการพั
ฒนาเช
นนี้
มี
ประโยชน
ต
อการชี้
นํ
าการปรั
บขยายโครงการ เพื่
อให
เกิ
ดผลดี
ในหลายด
านได
มากขึ้
น และควรจะมี
การดํ
าเนิ
นการกั
นให
มากในประเทศไทย
การวิ
จั
ยเพื่
อหาสาเหตุ
สมทบตามธรรมชาติ
ของอิ
ทธิ
พลจากการเข
าโครงการ
ถึ
งแม
จะพบว
าการเข
ารั
บการฝ
กอบรม หรื
อการเข
าโครงการพั
ฒนา ก
อให
เกิ
ดผลดี
ต
อผู
รั
บ แต
อย
างไรก็
ตาม ยั
งปรากฏว
าผู
เข
าโครงการจะได
รั
บผลดี
ในปริ
มาณที่
ต
างกั
น ตลอดจนบางคนอาจไม
ได
รั
ผลดี
เลย นั
กพั
ฒนาจึ
งต
องการที่
จะทราบว
า คนประเภทใดคื
อผู
ที่
จะได
รั
บผลดี
จากการจั
ดการพั
ฒนาใน
ลั
กษณะหนึ่
ง ที่
ใช
เวลาระยะหนึ่
ง ที่
ตนได
จั
ดไปแล
ว เพื่
อที่
จะได
นํ
าโครงการดั
งกล
าว ไปให
กั
บคน
ประเภทที่
จะได
รั
บผลดี
ได
มากที่
สุ
ดเท
านั้
นต
อไป เช
นที่
บุ
ญรั
บ ศั
กดิ์
มณี
(2532) พบว
า ข
าราชการเข
ใหม
ที่
ได
รั
บการฝ
กอบรมจิ
ตด
านมุ
งอนาคตควบคุ
มตน ถึ
ง 15 ชั่
วโมงนั้
น ผู
ที่
ได
รั
บผลดี
มากในหลายด
าน
ที่
สุ
ด เมื่
อเปรี
ยบเที
ยบกั
บกลุ
มควบคุ
มที่
ไม
ได
ฝ
ก คื
อ ข
าราชการระดั
บธุ
รการ ที่
มี
การศึ
กษาต่ํ
ากว
าปริ
ญญา
ตรี
จึ
งเสนอแนะฝ
ายจั
ดฝ
กอบรมข
าราชการ เพื่
อการใช
ชุ
ดฝ
กนี้
โดยเฉพาะกั
บข
าราชการธุ
รการที่
เข
าใหม
ต
อไปในอนาคต
รู
ปแบบการวิ
จั
ยที่
ยกตั
วอย
างข
างบนนี้
คื
อ การวิ
จั
ยเชิ
งทดลองที่
เพิ่
มสาเหตุ
สมทบ ซึ่
งเป
ลั
กษณะที่
ติ
ดตั
วมากั
บผู
เข
ารั
บการฝ
ก โดยผู
วิ
จั
ยใช
ลั
กษณะเหล
านี้
ในฐานะตั
วแปรอิ
สระที่
ไม
ได
จั
ดกระทํ
1...,203,204,205,206,207,208,209,210,211,212 214,215,216,217,218,219,220,221,222,223,...702
Powered by FlippingBook