การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 211

17
กฎข
อที่
สองนี้
จึ
งกล
าวได
ว
าการจั
ดการพั
ฒนาเป
นสาเหตุ
ของผลดี
ที่
เกิ
ดในกลุ
มทดลอง กฎข
อที่
สองที่
จะ
ใช
ในการยื
นยั
นความเป
นสาเหตุ
ได
ก็
ต
อเมื่
อ พิ
สู
จน
ตามกฎข
อที่
หนึ่
งไปแล
วว
าจริ
งเท
านั้
น ถ
ามี
การพบผล
วิ
จั
ยว
าไม
เป
นไปตามกฎข
อที่
1 (Covariation rule) ก็
ให
ยุ
ติ
การพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
นั้
นได
ทั
นที
ไม
ต
อง
มาทํ
าการพิ
สู
จน
ตามกฎข
อที่
2 และข
อที่
3 เลย แล
วสรุ
ปไปได
ว
า สิ่
งนั้
นไม
ได
เป
นสาเหตุ
ของผลนั้
น นั
ประวั
ติ
ศาสตร
ที่
หลงผิ
ด มั
กใช
กฎข
อที่
สองนี้
เพี
ยงข
อเดี
ยว อั
นเป
นแบบอย
างที่
ไม
เหมาะสมในการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
ของผลหนึ่
งๆ (McClelland, 1963)
ข
อผิ
ดพลาดที่
เกิ
ดขึ้
นเนื่
องๆ ก็
คื
อการที่
นั
กสั
งคมศาสตร
และมนุ
ษยศาสตร
มั
กพิ
สู
จน
ตามกฎข
2 (Temporal Precedence Rule) โดยไม
พิ
สู
จน
ตามกฎข
อ 1 ก
อน แล
วด
วนสรุ
ปว
าพบสาเหตุ
แล
ว ซึ่
งเป
การฟ
งความข
างเดี
ยว เช
น สอบถามแต
จากผู
ที่
ทํ
าบางอย
างสํ
าเร็
จ ว
ามี
อะไรนํ
ามาก
อนความสํ
าเร็
จนั้
แล
วทึ
กทั
กเอาว
าสิ่
งที่
เกิ
ดก
อนทั้
งหมด คื
อ สาเหตุ
ของความสํ
าเร็
จนั้
น ซึ่
งเป
นข
อสรุ
ปที่
ผิ
ดพลาดมาก
เพราะยั
งไม
ได
ไปเปรี
ยบเที
ยบกั
บผู
ที่
ทํ
าแล
วไม
สํ
าเร็
จ ว
ามี
สิ่
งใดเกิ
ดมาก
อน ถ
าสิ่
งที่
เกิ
ดมาก
อนในคน 2
ประเภทนี้
ต
างกั
น เช
น มี
สิ่
ง ก. เกิ
ดก
อนในคนที่
พบความสํ
าเร็
จ แต
ไม
มี
สิ่
ง ก. นี้
ในคนที่
ทํ
าไม
สํ
าเร็
จ นั่
คื
อ พิ
สู
จน
ตามกฎข
อที่
1 เป
นสิ่
งจํ
าเป
นจะขาดไม
ได
นั่
นเอง จึ
งอาจเริ
มคาดว
าสิ่
ง ก. นี้
อาจเป
นสาเหตุ
ของ
ความสํ
าเร็
จได
แต
ต
องพิ
สู
จน
ตามกฎข
อที่
3 ต
อไปด
วย
3) กฎที่
สํ
าคั
ญข
อที่
3 คื
การพิ
สู
จน
ว
าไม
มี
อิ
ทธิ
พลอื่
นเข
ามาแทรก หรื
อบดบั
ง อิ
ทธิ
พลของ
โครงการพั
ฒนาที่
มี
ต
อผลดี
ที่
เราคาดหวั
งเอาไว
(Internal validity rule)
กฎข
อที่
3 นี้
จะต
องพิ
สู
จน
ความ
เข
มแข็
งของอิ
ทธิ
พลของสาเหตุ
ต
อผลนั้
น ที่
พบแล
วว
าจริ
งตามกฎข
อที่
1 และข
อที่
2 โดยกฎข
อที่
3 นี้
ผู
วิ
จั
ยจะต
องดํ
าเนิ
นการพิ
สู
จน
ว
า สาเหตุ
ที่
คาดนี้
ไม
ได
ถู
กลบล
างโดยสาเหตุ
อื่
นได
ง
าย ตั
วอย
างเช
น การ
ไปรณรงค
คนที่
อยู
ตามลํ
าคลอง ให
ลดการทิ้
งขยะและน้ํ
าเน
าเสี
ยลงในลํ
าคลอง เพื่
อผลคื
อทํ
าให
ลํ
าคลอง
นั้
นใสสะอาดขึ้
นกว
าแต
ก
อน หลั
งจากรณรงค
ไปได
ระยะหนึ่
ง จึ
งไปวั
ดความใสสะอาดของน้ํ
าในคลอง
นั้
น ปรากฏว
าน้ํ
าใสสะอาดขึ้
นมาก แต
อาจเป
นเพราะไปวั
ดผลในช
วงฤดู
ฝน ลํ
าคลองมี
น้ํ
ามาก และรั
น้ํ
าฝนจากฟ
าซึ่
งเป
นน้ํ
าที่
สะอาด ความสะอาดของน้ํ
าในคลองดั
งกล
าว จึ
งอาจมี
สาเหตุ
จากฝน มากกว
สาเหตุ
จากการรณรงค
ก็
ได
การวั
ดผลจึ
งควรทํ
าในหน
าแล
ง หรื
อใช
กลุ
มควบคุ
มเป
นคลองอื่
นๆ ที่
ฝนตก
มากเหมื
อนกั
นแต
ไม
ได
มี
การรณรงค
มาเปรี
ยบเที
ยบ จึ
งจะน
าเชื่
อถื
จึ
งสรุ
ปได
ว
า การพิ
สู
จน
ว
าผลดี
ตามเป
าหมายเกิ
ดจากโครงการพั
ฒนานั้
น เป
นสิ่
งที่
ทํ
าได
ไม
ยาก
แต
ต
องทํ
าอย
างถู
กวิ
ธี
โดยพิ
สู
จน
ตามกฎ 3 ข
อที่
กล
าวมานี้
จะเหมาะสมและสมบู
รณ
ที่
สุ
ด ไม
มี
ใคร
สามารถมาโต
แย
งได
และเป
นรู
ปธรรมที่
ทํ
าให
ผู
ให
ทุ
นเห็
นและเชื่
อมั่
น ดั
งนั้
นนั
กพั
ฒนาจะต
องใช
รู
ปแบบการวิ
จั
ยประเมิ
นผลโครงการพั
ฒนาของตน อาจสั
งเกตได
ว
ากลุ
มควบคุ
มสามารถช
วยในการ
พิ
สู
จน
ตามกฎทุ
กข
อในทั้
ง 3 ข
อดั
งกล
าว ดั
งนั้
น การปฏิ
เสธการใช
กลุ
มควบคุ
ม จึ
งมั
กจะก
อให
เกิ
ดความ
เสี
ยหายมากแก
ความน
าเชื่
อถื
อของข
อสรุ
ปในวิ
จั
ยนั้
นๆ
รู
ปแบบการวิ
จั
ยที่
ถู
กต
องจึ
งควรเป
นรู
ปแบบที่
เรี
ยกว
า การวั
ดก
อน-วั
ดทั
นที
หลั
งพั
ฒนา มี
ทั้
งกลุ
มทดลองและกลุ
มควบคุ
ม ซึ่
งผู
ที่
อยู
ในทั้
งสองกลุ
มนี้
ต
องถู
กสุ
มเข
ากลุ
มแบบไม
ลํ
าเอี
ยง (Pretest-Posttest with control group and random assignment)
1...,201,202,203,204,205,206,207,208,209,210 212,213,214,215,216,217,218,219,220,221,...702
Powered by FlippingBook