การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 209

15
โครงการพั
ฒนาหลายโครงการรวมทั้
งโครงการ Head Start มั
กถู
กจั
ดตั้
งขึ้
นจากความต
องการ
อย
างเร
งด
วนของรั
ฐ โดยไม
ยอมทํ
าการประเมิ
นผลโครงการก
อน สํ
าหรั
บในประเทศไทยนั้
นยั
งเป
นที่
น
ายิ
นดี
ในระดั
บหนึ่
งว
า โครงการพั
ฒนาหลายโครงการของรั
ฐมี
การทดลองกั
บหน
วยงานต
นแบบ และ
ทํ
าการประเมิ
นผลก
อนที่
จะนํ
ามาใช
อย
างกว
างขวาง แต
การประเมิ
นผลนั้
นอาจไม
ได
ทํ
าเป
นการวิ
จั
ยเชิ
ทดลอง (Evaluative Experimental Study) จึ
งทํ
าให
ผลการวิ
จั
ยที่
ได
มานั้
นถู
กติ
ติ
งมาก และไม
เป
นที่
ยอมรั
การวิ
จั
ยที่
ถู
กต
องตามหลั
กวิ
ชาการ คื
อ การวิ
จั
ยเชิ
งทดลอง (Experimental Evaluative Study)
ซึ่
งมี
ลั
กษณะที่
สํ
าคั
ญ 4 ประการ
คื
อ 1) มี
การสร
างสาเหตุ
หรื
อการจั
ดกระทํ
า ซึ่
งในที่
นี้
คื
อตั
วโครงการ
พั
ฒนา 2) มี
การเลื
อกผู
ถู
กทดลองเข
ากลุ
มโดยไม
ลํ
าเอี
ยง (Random assignment) เข
าสู
กลุ
มทดลอง ในที
นี้
คื
อเข
าสู
โครงการพั
ฒนา และกลุ
มควบคุ
ม คื
อ ผู
ที่
ไม
ได
รั
บการพั
ฒนานั้
น 3) อาจมี
การวั
ดก
อน (Pretest)
และวั
ดหลั
ง (Posttest) เพื่
อจะได
นํ
าผลมาเปรี
ยบเที
ยบกั
น ซึ่
งถ
าผลการวั
ดภายหลั
งปรากฏว
า ผู
เข
าร
วม
โครงการมี
คะแนนจิ
ตใจ หรื
อพฤติ
กรรม หรื
อความสํ
าเร็
จมากกว
า ผลจากการวั
ดก
อน ผลเช
นนี้
แสดงได
เพี
ยงว
า ผู
เข
าร
วมโครงการมี
พั
ฒนาการเพิ่
มขึ้
น แต
ไม
สามารถพิ
สู
จน
ว
า พั
ฒนาการที่
เพิ่
มขึ้
นนั้
นเป
นผลมา
จากโครงการพั
ฒนา และ 4) การพิ
สู
จน
ได
อย
างน
ามั่
นใจและน
าเชื่
อถื
อว
า พั
ฒนาการที่
มากขึ้
นนั้
นเป
นผล
มาจากโครงการพั
ฒนาจริ
งๆ นั
กพั
ฒนาจะต
องมี
กลุ
มควบคุ
ม (กลุ
มคนที่
ไม
ได
รั
บการสุ
มให
เข
าโครงการ
พั
ฒนา) ที่
มี
ลั
กษณะใกล
เคี
ยงกั
บกลุ
มทดลอง
นอกจากนี้
การวิ
จั
ยเพื่
อพิ
สู
จน
ความสํ
าเร็
จของต
นแบบโครงการพั
ฒนา/ชุ
ดฝ
กอบรม ยั
งจะต
อง
ยึ
ดหลั
กปรั
ชญา 3 ข
อ ในการดํ
าเนิ
นการพิ
สู
จน
ความเป
นสาเหตุ
และผล
(Rosenthal & Rosnow, 1991) ซึ่
จะต
องพิ
สู
จน
ให
ครบทั้
ง 3 ประการ ตามลํ
าดั
บดั
งนี้
ได
แก
1)
หลั
กของค
าของตั
วแปรตาม ต
องเปลี่
ยนแปลงไปตามค
าของตั
วแปรอิ
สระ (Covariation rule)
กฎข
อนี้
สํ
าคั
ญที่
สุ
ด จะขาดไม
ได
แต
มั
กถู
กมองข
ามอยู
เสมอ นั
กวิ
จั
ยและนั
กพั
ฒนาจะต
องพิ
สู
จน
เป
อย
างแรกก
อนสิ่
งอื่
นใด ดั
งที่
McClelland (1963) ได
เขี
ยนติ
ติ
งนั
กจิ
ตวิ
ทยาโบราณ ที่
มั
กจะศึ
กษาผลใน
กรณี
เดี
ยวตามลํ
าพั
ง แล
วสรุ
ปว
าสิ่
งที่
เกิ
ดนํ
ามาก
อน เป
นสาเหตุ
ของผลดั
งกล
าว ซึ่
งเป
นการใช
กฎข
อที่
ภาพ 6 รู
ปแบบการวิ
จั
ยเชิ
งทดลองเต็
มรู
ป ที่
มี
การสุ
มเข
ากลุ
มวิ
จั
ยต
างๆ โดยไม
ลํ
าเอี
ยง มี
กลุ
ควบคุ
ม และมี
การวั
ดผลหลายครั้
กลุ
มตั
วอย
างที่
ใช
เดิ
มต
องมี
ลั
กษณะ
เท
าเที
ยมกั
นในลั
กษณะเชิ
งเหตุ
และ/หรื
อ ลั
กษณะเชิ
งผลมาก
อน
กลุ
มทดลอง
วั
ดก
อน
(
Pretest
)
การจั
ดกระทํ
(
Treatment
)
วั
ดหลั
งจากทิ้
ระยะไปสั
กพั
กลุ
มควบคุ
วั
ดก
อน
(
Pretest
)
วั
ดหลั
(
Posttest
)
วั
ดหลั
งจากทิ้
งระยะไปสั
กพั
สุ
มเข
ากลุ
มโดยไม
ลํ
าเอี
ยง
(
Random Assignment
)
วั
ดทั
นที
หลั
งจั
กระทํ
(
Posttest
)
1...,199,200,201,202,203,204,205,206,207,208 210,211,212,213,214,215,216,217,218,219,...702
Powered by FlippingBook