การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ 2559 - page 132

131
นี้
พบว่
าการชช้
ไอออนโตโฟเรซิ
สชนการผลั
กวิ
ตามิ
นซี
เข้
าสู่
ผิ
วหนั
ง ซึ่
งวิ
ตามิ
นซี
เป็
นสารที่
มี
โมเลกุ
ลขนาดชหญ่
เสื่
อมสลายตั
เร็
ว (oxidization) จึ
งนาส่
งยาผ่
านทางผิ
วหนั
งได้
น้
อยและยากลาบากด้
วยวิ
ธี
การชช้
ไอออนโตโฟเรซิ
ส [19, 20] และมี
การศึ
กษาก่
อนหน้
าชช้
อิ
เล็
กโตรโพเรชั่
นพบว่
าวิ
ตามิ
นซี
สามารถนาส่
งเข้
าผิ
วหนั
งได้
เช่
นกั
น [21] ดั
งนั้
น MAP ซึ่
งเป็
นอนุ
พั
นธ์
ของวิ
ตามิ
นซี
ที่
มี
ความเสถี
ยรมากกว่
าและมี
ผลข้
างเคี
ยงน้
อยกว่
าการชช้
วิ
ตามิ
นซี
[22] อย่
างไรก็
ตามวิ
ธี
การนาส่
งยาแบบการ
ชช้
กระแสไฟตรงศั
กย์
สู
งด้
วยวิ
ธี
อิ
เล็
กโตรโพเรชั่
นยั
งไม่
มี
การนามาประยุ
กต์
ชช้
ชนการรั
กษาจริ
งทางกายาาพบาบั
ดชนคลิ
นิ
และยั
งไม่
มี
การศึ
กษาชดทาการเปรี
ยบเที
ยบความสามารถชนการเพิ่
มการซึ
มผ่
านของ MAP ระหว่
างไอออนโตโฟเรซิ
สและอิ
เล็
กโตรโพเรชั่
นโดยประยุ
กต์
ชช้
รู
ปแบบของกระแสไฟฟ้
าที่
ชช้
จริ
งชนทางการรั
กษาทางกายาาพบาบั
ด ดั
งนั้
นวั
ตถุ
ประสงค์
ของ
การศึ
กษาครั้
งนี้
จึ
งต้
องการเปรี
ยบเที
ยบความสามารถชนการผลั
กดั
นยาระหว่
างวิ
ธี
ไอออนโตโฟเรซิ
ส วิ
ธี
อิ
เล็
กโตรโพเรชั่
นและ
ไม่
เปิ
ดกระแสไฟฟ้
าที่
ระยะเวลา 5 10 และ 20 นาที
วิ
ธี
การวิ
จั
เตรี
ยมเมมเบรน (Membrane) ที่
ชช้
ชนการศึ
กษาครั้
งนี้
คื
อหนั
งหมู
ซึ่
งมี
คุ
ณสมบั
ติ
ชกล้
เคี
ยงกั
บชั้
นผิ
วหนั
งของมนุ
ษย์
มากที่
สุ
ด นาหนั
งหมู
บริ
เวณส่
วนหน้
าท้
องมาลอกชนส่
วนชั้
นเนื้
อเยื่
อไขมั
นและกาจั
ดขน ยั
งคงเหลื
อชั้
นหนั
งกาพร้
าและหนั
แท้
ความหนาประมาณ 300 ไมครอน ขนาด 3x3 ตารางเซนติ
เมตรชนแต่
ละชิ้
น แต่
ละกลุ่
มการทดลองชช้
หมู
จานวน 3 ตั
(N=3) แบบจาลองผิ
วหนั
งประกบอยู่
ระหว่
าง donor chamber และ receptor chamber (าาพที่
1) เตรี
ยมยาที่
ชช้
คื
MAP 3% W/V ละลายชน phosphate buffer solution ที่
pH 7.4 (PBS 7.4) ชส่
ชนฝั่
ง donor chamber ส่
วนชนฝั่
receptor chamber ชส่
PBS 7.4 โดยควบคุ
มอุ
ณหาู
มิ
ที่
37°C รู
ปแบบของกระแสไฟฟ้
าที่
ชช้
เป็
นกระแสไฟฟ้
าที่
ชช้
ชนการ
รั
กษาทางกายาาพบาบั
ดคื
อเครื่
อง Endomed 82 จาก ENRAF-NONIUS, Rotterdam, Netherlands โดยกาหนด
ค่
าความถี่
ของการกระตุ้
นชนระดั
บสู
งสุ
ดคื
อ 200 Hz เพื่
อศึ
กษาผลจากการกระตุ้
นที่
ความเข้
มของกระแสชนระดั
บที่
แตกต่
าง
กั
น โดยคานวณการเปรี
ยบเที
ยบการชช้
กระแสตรงแบบ GC จะชห้
ชช้
ค่
าความเข้
มข้
นของกระแสเที
ยบเท่
ากั
บรู
ปแบบกระแส
HVPC หารด้
วยความต้
านทานของระบบชนการทดลอง โดยค่
าความต้
านทานวั
ดจากระบบ
Franz diffusion cell ขณะเปิ
กระแสไฟฟ้
าและมี
แบบจาลองผิ
วหนั
งชนระบบ คานวณค่
าจากกฎของโอห์
ม V = IR เพื่
อควบคุ
มปริ
มาณกระแสชห้
อยู่
ชน
ระดั
บที่
ชกล้
เคี
ยงกั
นชนรู
ปแบบกระแสไฟที่
ชช้
มากที่
สุ
ด ขณะทาการทดลองเตรี
ยมระบบ Franz diffusion cell ชส่
ขั้
วกระตุ้
ที่
เป็
นขั้
วเดี
ยวกั
บตั
วยาคื
อขั้
วลบชนฝั่
ง donor chamber และรอชห้
ยาผ่
านเมมเบรน ไปฝั่
งของ receptor chamber ที่
5
10 และ 20 นาที
และนาสารจากส่
วนนี้
ไปวิ
เคราะห์
ค่
าความเข้
มข้
นของยาด้
วยเครื่
อง high performance liquid
chromatography (HPLC) โดยชช้
ความยาวคลื่
นแสง UV ที่
255 นาโนเมตร และนามาเที
ยบกั
บค่
าความเข้
มข้
นของสารที่
ได้
จากการสร้
างกราฟความเข้
มข้
นมาตรฐาน (Standard curve) กราฟความเข้
มข้
นมาตรฐานสร้
างโดยการนาค่
าความ
เข้
มข้
นของ MAP ที่
0.1 - 100 µg/ml โดยทาการคานวณพื้
นที่
ชต้
กราฟที่
ทราบความเข้
มข้
นแน่
นอนชนช่
วงของความ
เข้
มข้
นชนระดั
บต่
างๆ และนามาบั
นทึ
กเป็
นกราฟความเข้
มข้
นมาตรฐานเพื่
อจะนาไปเป็
นสมการคานวณค่
าความเข้
มข้
จากนั้
นนาผลที่
ได้
ทาการวิ
เคราะห์
ข้
อมู
ลทางสถิ
ติ
เปรี
ยบเที
ยบผลของความเข้
มข้
นของยาชนแต่
ละความแตกต่
างของ
กระแสไฟทั้
ง 3 กลุ่
มคื
อ GC, HVPC และpassive diffusion ชนช่
วงเวลาที่
5 10 และ 20 นาที
โดยชช้
สถิ
ติ
Kruskal-
Wallist H และชช้
สถิ
ติ
Friedman สาหรั
บการเปรี
ยบเที
ยบผลของข้
อมู
ลาายชนกลุ่
มเดี
ยวกั
น วิ
เคราะห์
ข้
อมู
ลด้
วยโปรแกรม
SPSS (11.0)
1...,122,123,124,125,126,127,128,129,130,131 133,134,135,136,137,138,139,140,141,142,...300
Powered by FlippingBook