เอกสารการประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัย ครั้งที่ 21 / 2554 (Oral) - page 51

3
เกิ
ดขึ้
นได้
รวมถึ
งการสร้
างวิ
สั
ยทั
ศน์
ขององค์
กรที่
เหมาะสมซึ่
งทาให้
องค์
กรมี
กรอบและทิ
ศทางการดาเนิ
นงานที่
ชั
ดเจน
วั
ฒนธรรมองค์
กรจึ
งเป็
นปั
จจั
ยที่
สาคั
ญและมี
ความสั
มพั
นธ์
กั
บการเพิ่
มประสิ
ทธิ
ผลของการจั
ดการความรู้
ที่
จะนาไปสู่
ผลสาเร็
จขององค์
กร ดั
งนั้
น การดาเนิ
นงานของมหาวิ
ทยาลั
ยเอกชนจึ
งควรต้
องมุ่
งพั
ฒนาและส่
งเสริ
มให้
เกิ
ดวั
ฒนธรรม
องค์
กรด้
านความไว้
วางใจ ความร่
วมมื
อ และการเรี
ยนรู้
ขึ้
นในหน่
วยงานระดั
บต่
าง ๆ ดั
งนี้
คื
1. วั
ฒนธรรมความไว้
วางใจระหว่
างเพื่
อนร่
วมงาน (Trust)
ถื
อว่
าเป็
นพื้
นฐานในการทางานให้
ประสบ
ความสาเร็
จ การสร้
างความสามั
คคี
และความไว้
วางใจในองค์
กรควรเริ่
มจากการมี
วิ
สั
ยทั
ศน์
ร่
วมกั
น คื
อ มี
แนวคิ
ด มี
ทั
ศนคติ
และวั
ตถุ
ประสงค์
หรื
อเป้
าหมายที่
เป็
นไปในทิ
ศทางเดี
ยวกั
น โดยที่
รู
ปแบบของความไว้
วางใจสามารถแบ่
งออก
ได้
เป็
น 4 ลั
กษณะคื
อ 1) ความไว้
วางใจในความสามารถของตั
วเองที่
เกิ
ดขึ้
นในตั
วบุ
คคล ซึ่
งเป็
นสิ่
งที่
สะสมมาจาก
ประสบการณ์
และสภาพแวดล้
อมที่
มี
ความแตกต่
างกั
นในแต่
ละบุ
คคล 2) ความไว้
วางใจในบุ
คคลอื่
น ที่
เกิ
ดขึ้
นจาก
กระบวนการทางความคิ
ดและการรั
บรู้
ทางด้
านอารมณ์
โดยมี
ความสั
มพั
นธ์
พื้
นฐานของความเชื่
อที่
มาจากครอบครั
วเป็
หลั
ก และสื
บเนื่
องมาถึ
งความเชื่
อระหว่
างบุ
คคลภายนอก 3) ความไว้
วางใจในระบบที่
ไม่
เป็
นส่
วนตั
ว ไม่
สามารถ
ควบคุ
มได้
การยอมรั
บความเสี่
ยงที่
จะเกิ
ดขึ้
นในการเข้
าใช้
ระบบ เช่
น ระบบสั
งคม เศรษฐกิ
จ การเมื
อง เป็
นต้
น 4) ความ
ไว้
วางใจของตั
วบุ
คคลในด้
านวั
ตถุ
เช่
น อุ
ปกรณ์
อิ
เล็
กทรอนิ
กส์
ต่
าง ๆ ที่
นามาใช้
ในการปฏิ
บั
ติ
งานมี
ความน่
าเชื่
อถื
อมาก
น้
อยเพี
ยงไร การรั
กษาความปลอดภั
ยของข้
อมู
ลให้
เป็
นความลั
บและมี
ความเป็
นส่
วนตั
วมากน้
อยเพี
ยงใด
2. วั
ฒนธรรมความร่
วมมื
อ( Collaboration) ซึ่
งโดยรากศั
พท์
แล้
ว หมายถึ
ง ความร่
วมมื
อหรื
อความช่
วยเหลื
อ ที่
บุ
คคลมุ่
งจั
ดการกั
บความขั
ดแย้
งให้
เกิ
ดความพอใจแก่
ทั้
งตนเองและแก่
ผู้
อื่
นและเป็
นความร่
วมมื
อร่
วมใจในการแก้
ไข
ปั
ญหาที่
มุ่
งให้
เกิ
ดประโยชน์
ทั้
งสองฝ่
าย อั
นจะนาไปสู่
การเรี
ยนรู้
และการทางานเป็
นที
มร่
วมกั
นในระดั
บบุ
คคล ระดั
หน่
วยงานและระดั
บข้
ามหน่
วยงาน โดยความร่
วมมื
อที่
เกิ
ดขึ้
นนี้
สามารถพั
ฒนาไปสู่
การสร้
างเครื่
อข่
ายที่
มี
ศั
กยภาพใน
การประสานประโยชน์
ระหว่
างองค์
กร ชุ
มชน และสั
งคมที่
เข็
มแข็
3. วั
ฒนธรรมการเรี
ยนรู้
ในองค์
กร( Learning) ระดั
บของการเรี
ยนรู้
สามารถแบ่
งออกได้
เป็
น 2 ระดั
บ (Senge,
1990) คื
อ 1) การเรี
ยนรู้
แบบปรั
บตั
ว ( Adaptive Learning) เป็
นการเรี
ยนรู้
ในการตรวจหาและแก้
ไขข้
อผิ
ดพลาดในการ
ปฏิ
บั
ติ
งานประจาภายใต้
ประเพณี
ธรรมเนี
ยมปฏิ
บั
ติ
ที่
เคยมี
มา หรื
อแก้
วิ
ธี
การปฏิ
บั
ติ
งานภายใต้
กรอบกติ
กาเดิ
ม 2) การ
เรี
ยนรู้
แบบสร้
างสรรค์
(Generative Learning) เป็
นการเรี
ยนรู้
ที่
มี
การทบทวนปรั
บปรุ
งธรรมเนี
ยมปฏิ
บั
ติ
นโยบายและ
วั
ตถุ
ประสงค์
ขององค์
กร ซึ่
งเป็
นการเรี
ยนรู้
ที่
สามารถทาให้
เกิ
ดการคิ
ดนอกกรอบและสร้
างนวั
ตกรรมขององค์
กรได้
ซึ่
บดิ
นทร์
วิ
จารณ์
(2549) กล่
าวถึ
งรู
ปแบบของการเรี
ยนรู้
ในองค์
กรว่
า บุ
คคลสามารถสร้
างวิ
ธี
การเรี
ยนรู้
ได้
จาก 1) การ
เรี
ยนรู้
จากการเปลี่
ยนแปลง 2) การเรี
ยนรู้
วิ
ธี
เรี
ยนรู้
3) เรี
ยนรู้
และแบ่
งปั
นความรู้
ร่
วมกั
น 4) สร้
างพลั
งการเรี
ยนรู้
ร่
วมกั
และ5) แปลงความรู้
เป็
นคุ
ณค่
การศึ
กษาวั
ฒนธรรมองค์
กรด้
านความไว้
วางใจ ความร่
วมมื
อ การเรี
ยนรู้
กั
บการจั
ดการความรู้
ของมหาวิ
ทยาลั
เอกชนครั้
งนี้
มี
วั
ตถุ
ประสงค์
เพื่
อวั
ดระดั
บวั
ฒนธรรมองค์
กรและการจั
ดการความรู้
ของมหาวิ
ทยาลั
ยเอกชน และเพื่
อศึ
กษา
ความสั
มพั
นธ์
ระหว่
างวั
ฒนธรรมองค์
กรกั
บการจั
ดการความรู้
ของหน่
วยงาน ซึ่
งความรู้
ที่
ได้
จากการศึ
กษาครั้
งนี้
สามารถ
เพิ่
มศั
กยภาพการปฏิ
บั
ติ
งานของอาจารย์
ในมหาวิ
ทยาลั
ยเอกชน ซึ่
งจะนาไปสู่
การเพิ่
มประสิ
ทธิ
ภาพและประสิ
ทธิ
ผลการ
จั
ดการศึ
กษาของมหาวิ
ทยาลั
ยเอกชน และสามารถนาความรู้
ที่
ได้
ใช้
เป็
นแนวทางในการเสริ
มสร้
างให้
เกิ
ดความไว้
วางใจ
ระหว่
างกั
น ความร่
วมมื
อกั
นหรื
อการทางานเป็
นที
ม และเกิ
ดกระบวนการเรี
ยนรู้
ของคณาจารย์
และบุ
คลากรใน
มหาวิ
ทยาลั
ยเอกชนและสถาบั
นอื่
นที่
เกี่
ยวข้
องอย่
างสอดคล้
องและเหมาะสมกั
บการจั
ดการศึ
กษาในยุ
คแห่
งสั
งคม
ฐานความรู้
(Knowledge base society)
1...,41,42,43,44,45,46,47,48,49,50 52,53,54,55,56,57,58,59,60,61,...1102
Powered by FlippingBook