การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ 2559 - page 109

108
ภาพที่ 1 ลักษณะโคโลนีของราเอนโดไฟท์ 6 กลุ่มที่แยกจากผักตบชวา บนอาหาร PDA บ่มที่อุ ณหภูมิห้อง เป็นเวลา 20 วัน
ภาพที่ 2 ลักษณะโคโลนีของราเอนโดไฟท์ 10 กลุ่มที่แยกจากจอกหูหนู บนอาหาร PDA บ่มที่อุ ณหภูมิห้อง เป็นเวลา 20 วัน
3. ผลการทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรี ย์ก่อโรคในคน
ผลการน้าสารสกั ดหยาบจากราเอนโดไฟท์ไปทดสอบกับเชื้อจุลิ นทรีย์ก่ อโรค (ตารางที่ 1) พบว่าสารสกั ดหยาบ 48
สาร จากราเอนโดไฟท์ 16 ไอโซเลท มีฤทธิ์ ยับยั้ งจุลิ นทรีย์ทดสอบ คิดเป็น 28% จากจ้านวนสารสกัดที่น้ามาทดสอบทั้งหมด
โดยสารสกัดที่มีฤทธิ์ยั บยั้งจุลิ นทรีย์ทดสอบได้ดี คือสารสกัดจากส่วนน้้าเลี้ยงเชื้ อราที่สกัดด้วย ethyl acetate สารสกัด
SalCE3 จากจอกหูหนูยับยั้ งเชื้อ S. aureus, MRSA และ P. aeruginosa ได้ดีที่สุ ด MIC เท่ากับ 64 µg/ml และ MBC >128
µg/ml ขณะที่สารสกัด BC1BE จากผักตบชวา ยับยั้ งเชื้อ S. aureus และ MRSA ดีที่สุ ด MIC เท่ากับ 16 µg/ml และ MBC
>128 µg/ml มีรายงานการศึ กษาเชื้อราเอนโดไฟท์จากกลุ่ มพืชน้้า และพบว่าสารสกั ดจากเชื้อราเอนโดไฟท์ที่แยกได้ จากพืช
น้้ามีศักยภาพในการยั บยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ก่อโรค [3,5] จากผลการศึ กษานี้สอดคล้ องกับรายงานวิจัยอื่นๆที่ศึกษาฤทธิ์ ของสารสกัด
จากลุ่มพืชน้้า Supaphon [3] พบว่าสารสกัด CH จากราเอนโดไฟท์ที่แยกจากหญ้าทะเล PSU-ES73 (Fusarium sp.) แสดง
EC1 EC2 EC3
EC4 EC5 EC6