5
ทางสถิ
ติ
ที่
ระดั
บ .05 มี
พฤติ
กรรมระหว่
างการพั
ฒนาอยู่
ในระดั
บดี
มากทุ
กข้
อ มี
ความพึ
งพอใจต่
อการพั
ฒนาอยู่
ในระดั
บ
มากที่
สุ
ด (
X
= 4.56, S.D. = 0.41)
5. การติ
ดตามผลการพั
ฒนาภาวะผู
้
นาด้
านเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่
อสารของผู
้
บริ
หารสถานศึ
กษา
ขั
้
นพื
้
นฐาน ภาคตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อ พบว่
า การนาความรู
้
ไปพั
ฒนาการปฏิ
บั
ติ
งานหลั
งการพั
ฒนา 1 เดื
อน โดยการ
สนทนากลุ่
ม และตอบแบบสอบถามระดั
บความสามารถในการเป็
นผู
้
นาด้
านเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่
อสาร
ของผู
้
บริ
หารสถานศึ
กษาขั
้
นพื
้
นฐาน พบว่
า ความรู
้
ที่
ได้
จากการพั
ฒนาส่
งผลต่
อการพั
ฒนาความสามารถในการเป็
นผู
้
นา
ด้
านเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่
อสารของผู
้
เข้
ารั
บการพั
ฒนาในระดั
บมากที่
สุ
ด (
X
= 4.61, S.D. = 0.21) ซึ
่
งสู
งกว่
า
ก่
อนการพั
ฒนา (
X
=2.43, S.D. = 0.37)
อภิ
ปรายผลการวิ
จั
ย
1. การศึ
กษาความจาเป็
นในการพั
ฒนาภาวะผู
้
นาด้
านเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่
อสาร ของผู
้
บริ
หาร
สถานศึ
กษาขั
้
นพื
้
นฐาน พบว่
า ประเด็
นที่
ผู
้
เชี่
ยวชาญมี
ความคิ
ดเห็
นสอดคล้
องกั
นตั
้
งแต่
ร้
อยละ 50 ขึ
้
นไปมี
18 ประเด็
น
โดยความสาคั
ญของการสารวจความจาเป็
นในการพั
ฒนานั
้
นสามารถนามาวิ
เคราะห์
ถึ
งปั
ญหาและอุ
ปสรรค
ที่
เกิ
ดหรื
อกาลั
งจะเกิ
ดในองค์
การได้
ซึ
่
งสอดคล้
องกั
บ Fisher Schoenfeldt และ Shaw (1996 : 356-359) กล่
าวว่
า
ความสาเร็
จของกระบวนการฝึ
กอบรม เริ่
มด้
วยการประเมิ
นความจาเป็
น เพื่
อพิ
จารณาความจาเป็
นในการฝึ
กอบรม
ของผู
้
ปฏิ
บั
ติ
งานและสิ่
งที่
จะต้
องจั
ดการฝึ
กอบรม และสอดคล้
องกั
บ สุ
ปราณี
ศรี
ฉั
ตราภิ
มุ
ข (2544 : 34) กล่
าวว่
า การหา
ความจาเป็
นการฝึ
กอบรมเป็
นการค้
นหาสภาพการณ์
หรื
อปั
ญหาเกี่
ยวกั
บบุ
คคลในองค์
การ ซึ
่
งสามารถดาเนิ
นการ
หรื
อแก้
ไขได้
ด้
วยการฝึ
กอบรม เพื่
อให้
องค์
การสามารถดาเนิ
นการไปสู่
จุ
ดมุ่
งหมายหรื
อวั
ตถุ
ประสงค์
และ Lynton (1970 :
77-78) ได้
กล่
าวถึ
งการหาความจาเป็
นการฝึ
กอบรมว่
า หมายถึ
ง ปั
ญหา อุ
ปสรรคหรื
อข้
อขั
ดข้
องใด ๆ ที่
อาจจะแก้
ไขได้
ด้
วยการฝึ
กอบรม ถ้
าหากไม่
อาจแก้
ไขปั
ญหาที่
เกิ
ดขึ
้
นได้
ก็
จะไม่
เรี
ยกว่
าเป็
นความจาเป็
นการฝึ
กอบรม แต่
อาจเป็
น
ความจาเป็
นที่
จะแก้
ไขด้
วยวิ
ธี
อื่
น ซึ
่
งสอดคล้
องกั
บ อติ
ญาณ ศรเกษตริ
น (2543 : 93-109) ทาการวิ
จั
ยเรื่
อง การสร้
าง
หลั
กสู
ตรฝึ
กอบรมเพื่
อเสริ
มสร้
างความเป็
นผู
้
นาสาหรั
บนั
กศึ
กษาพยาบาล และแบ่
งการวิ
จั
ยออกเป็
น 4 ขั
้
นตอน คื
อ
1) การศึ
กษาความต้
องการในการฝึ
กอบรม 2) การออกแบบหลั
กสู
ตร 3) การประเมิ
นประสิ
ทธิ
ภาพของหลั
กสู
ตร
และ 4) การปรั
บปรุ
งแก้
ไขหลั
กสู
ตร และวิ
มาน วรรณคา (2553 : 243-246) ทาการพั
ฒนาสมรรถนะวิ
ชาชี
พของผู
้
บริ
หาร
สถานศึ
กษาขนาดเล็
ก สั
งกั
ดสานั
กงานคณะกรรมการการศึ
กษาขั
้
นพื
้
นฐาน ซึ
่
งมี
การศึ
กษาสมรรถนะวิ
ชาชี
พที่
จาเป็
น
และนาข้
อมู
ลที่
ได้
มากาหนดประเด็
นและกระบวนการในการพั
ฒนา เพื่
อให้
ได้
สมรรถนะวิ
ชาชี
พที่
จาเป็
น และสอดคล้
อง
กั
บ สุ
พล จอกทอง (2553 : 159-165) ทาการพั
ฒนาสมรรถนะภาวะผู
้
นาด้
านวิ
ชาการของผู
้
บริ
หารโรงเรี
ยนประถมศึ
กษา
ขนาดเล็
ก ในสั
งกั
ดสานั
กงานเขตพื
้
นที่
การศึ
กษานครราชสี
มา เขต 5 ซึ
่
งมี
การหาความต้
องการและกาหนดแนวทาง
ในการพั
ฒนาสมรรถนะ
2. การสารวจความจาเป็
นในการพั
ฒนาภาวะผู
้
นาด้
านเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่
อสารของผู
้
บริ
หาร
สถานศึ
กษาขั
้
นพื
้
นฐาน ภาคตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อ พบว่
า ความจาเป็
นในการพั
ฒนามี
ค่
าเฉลี่
ยอยู่
ในระดั
บมาก
โดยจั
ดลาดั
บความจาเป็
นในการพั
ฒนาทั
้
ง 6 ด้
าน จากมากไปน้
อย ดั
งนี
้
ด้
านที่
1 การบริ
หารจั
ดการภายในสถานศึ
กษา
ด้
านที่
2 โครงสร้
างพื
้
นฐาน ด้
านที่
4 กระบวนการเรี
ยนรู
้
ด้
านที่
3 การเรี
ยนการสอน ด้
านที่
5 ทรั
พยากรการเรี
ยนรู
้
และด้
านที่
6 ความร่
วมมื
อภาครั
ฐ เอกชนและชุ
มชน